หายไปนาน วันนี้พร้อมแล้วที่จะแชร์เรื่องราวของทริปการเที่ยวป่าบราซิลประจำปีที่ผ่านมา มาค่ะ... เหมือนเดิมเลย.. ขอเปิดการเล่าเรื่องให้เห็นภาพรวมของ Trip ด้วยวีดีโอนี้นะคะ
ทริปนี้เป็นทริปติดสอยห้อยตามป๋ามี้ค่ะ เกริ่นก่อนว่า คุณพ่อคุณแม่เขาจะมีก๊วนเดินทางที่ร่วมจัดทริปเพื่อไปถ่ายรูปธรรมชาติกันเป็นระยะอยู่แล้ว แต่แทนไม่เคยไปร่วมเดินทางด้วยเลย ทริปนี้เลยถือเป็นทริปแรกที่ได้ไปแจมกับ ลุง พี่ น้า อา ค่ะ ทริปที่จะเน้นการถ่ายรูปสัตว์เป็นหลักเลยนะคะ ตั้งแต่สัตว์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น เสือจากัวร์, จระเข้เคแมน (Caiman), หนูยักษ์ Capybara, สัตว์เลื้อยคลานไม่ว่าจะเป็น อีกัวน่า (Iguana), งู Anaconda ไปถึงนกชนิดต่างๆ รวมไปถึง มด แมลง ผีเสื้อ แมงมุม โอยย.. เอาเป็นว่าสัตว์อะไรโผล่มา ถ่ายหมดค่ะ ถ้าใครสนใจดูรูปอาหารการกิน บอกไว้ก่อนเลยว่าไม่มีสักรูปนะคะ ลืมถ่ายค่ะ 555 เอ่าะ!.. ก่อนที่จะไปต่อ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอ่านสำหรับบางท่าน สรุปกันก่อนเลยดีกว่าว่าทริปนี้เหมาะและไม่เหมาะสมกับใครบ้าง
คือเอาจริงๆแล้ว ก็ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นคนที่รักธรรมชาติม๊ากมากอะไรขนาดนั้นนะคะ ขอแค่ไม่รังเกียจก็พอ เพราะกิจกรรมทุกวันก็คือการอยู่ในป่าที่สงบ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ (นอกจากบริเวณห้องพัก) และการเที่ยวที่นี่ไม่ได้เข้าข่ายว่าลำบากมาก แบบกินบนดิน นอนบนหญ้า กางเต็นท์นอนอะไรแบบนั้นนะคะ แม้จะอยู่กลางป่าแต่ที่พักในแต่ละคืนก็เป็นห้องพักสะอาดมีเตียงนอนสบายค่ะ ถ้าตัดสินใจว่าโอเค ไปต่อเลยค่ะ ^_^
หากพูดถึงการเที่ยวป่าแบบ ลึกลับๆ ตื่นเต้นๆ ระทึกใจๆ เพื่อตามหาสัตว์ป่าหายากดุร้าย ทุกคนคงจะต้องนึกถึงป่า Amazon ของประเทศบราซิลเป็นอันดับแรกแน่ๆ แต่อันที่จริงแล้วป่าอเมซอนถือว่าเป็นป่าดงดิบค่อนข้างทึบมาก การเดินทางสำรวจป่าค่อนข้างลำบากเนื่องจากมีถนนตัดผ่านน้อย การเที่ยวป่าอเมซอนจริงๆจึงทำได้แค่ล่องเรือตามป่าชายเลนขอบๆเท่านั้น และเนื่องจากพื้นที่ป่าของ Amazon นั้นใหญ่มาก การอยู่อาศัยของสัตว์ก็จะกระจายตัว การที่จะเจอสัตว์โผล่มาสักตัวก็ไม่ง่ายและไม่ถี่นัก จุดหมายหลัก 2 จุด ของการเที่ยวป่าทริปนี้ ไม่ว่าจะเป็น Cristalino หรือ Pantanal นั้น จะไม่ได้อยู่ใจกลางป่าอเมซอนแต่จะเยื้องลงมาทางใต้หน่อยค่ะ ลักษณะของเขตพื้นที่ 2 เขตนี้จะไม่ถึงกับเป็นป่าทึบแบบอเมซอน แต่ยังเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนข้างสูงและความหนาแน่นของปริมาณสัตว์ป่าก็ไม่ต่างกับเขตอเมซอนเลย ... ก่อนจะเดินทางงูๆปลาๆ เรามาทำความเข้าใจเส้นทางคร่าวๆ รวมถึงลักษณะพื้นที่พร้อมชนิดของป่าในบราซิลด้วยแผนที่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ
ที่เห็นทั้งหมดในแผนที่นี้คือทวีปอเมริกาใต้ และบริเวณทั้งหมดที่เป็นสีๆคือเขตพื้นที่ของประเทศบราซิล โดยทางตอนเหนือสุดของบราซิลนั้นจะเป็นเขตพื้นที่อเมซอน หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นเขตป่าทึบ Tropical Rain Forest ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง ถัดลงมาทางใต้ของป่า Amazon คือรัฐ Mato Grosso พื้นที่นี้ก็จะมีทั้งส่วนที่เป็นทั้ง rain forest ป่าทึบลักษณะเดียวกับ Amazon, มีพื้นที่ชุ่มน้ำ(wetlands), พื้นที่แห้ง (dry land) และมีพื้นที่ Savanna หรือพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้าเปิดกว้างนั่นเอง สำหรับ Cristalino, Alta Floresta จุดหมายแรกของการเที่ยวป่าสำหรับทริปนี้ก็จะอยู่ในตอนเหนือๆของพื้นที่นี้ หรือปลายด้านล่างของป่าอเมซอนนั่นเองค่ะ (จุดสีแดงบนสุดในแผนที่)
ถัดลงมาจาก Mato Grosso ตรงพื้นที่สีเขียวเข้มในแผนที่ก็คือพื้นที่ Pantanal (พันทานาล) หรือจุดหมายการเที่ยวครึ่งหลังของทริปค่ะ คำว่า Pantanal มาจาก Pantano ในภาษาสเปน หรือ Pântano ในภาษาโปรตุเกส ซึ่งแปลว่าหนองบึง หนองน้ำ เนื่องจากพื้นที่ส่วนนี้จะเป็นเหมือนแอ่งขนาดใหญ่ กินอาณาเขตกว้างใหญ่มหาศาลโดยมีพื้นที่ประมาณ 170,000 ตารางกิโลเมตร ล้อมรอบไปด้วยเขตพื้นที่ที่สูงกว่าที่มีแม่น้ำลำธารหลายร้อยสาย ไหลลงมารวมกันที่บริเวณพื้นที่นี้ เลยทำให้ Pantanal มีลักษณะเหมือนแอ่งมหึมา และกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ ตรงไหนแผ่นดินสูงหน่อยก็จะมีป่าถาวรขึ้นอยู่ ตรงไหนที่ต่ำก็จะกลายเป็นหนองน้ำ แผ่นดินส่วนใหญ่ของที่นี้เป็นที่เลี้ยงวัว โดยเฉพาะในบริเวณที่ราบกว้างๆ หากลอง search Google ดูก็จะพบว่า The Pantanal is the world's largest tropical wetland area. Wetland ที่ว่านี้ไม่ใช่แค่พื้นที่แฉะๆ นะคะ แต่หมายถึงที่ราบที่มีน้ำท่วมสูงเป็นเมตรๆเลยแหละค่ะ ถ้าใครยังนึกไม่ออกว่าพื้นที่ชุ่มน้ำมีลักษณะเป็นอย่างไร ดูภาพด้านล่างนี้นะคะ ในส่วนที่เห็นเป็นเขียวๆนั้นไม่ใช่ส่วนป่าที่เดินได้ทั้งหมดนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณน้ำที่ปกคลุมไปด้วยพืชอยู่ด้านบนค่ะ ปริมาณน้ำฝนที่ตกชุกในช่วงเดือน ธค-เมย ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นหลายเมตรบวกกับน้ำที่ไหลลงมาจากแม่น้ำลำธารของบริเวณรอบที่สูงกว่าทำให้เขตพื้นที่นี้กลายเป็นดินแดนน้ำท่วมที่สมบูรณ์ไปด้วยพืชน้ำ ปลาน้ำจืดและสัตว์อื่นๆอีกมากมาย
สำหรับฤดูของที่นี่จะแบ่งเป็น 2 ฤดูเท่านั้นคือ
ฤดูน้ำ (Wet Season) - ธันวาคม -พฤษภาคม บรรยากาศก็จะตามที่เห็นในภาพนี้ น้ำท่วมๆ ฤดูแล้ง (Dry Season) - มิถุนายน - พฤศจิกายน ช่วงกลางฤดูจะร้อนและแล้งมาก น้ำที่เคยท่วมก็จะเหลือเป็นหย่อมๆไป การเที่ยวป่าบราซิลสามารถทำได้ทั้ง 2 ฤดู แต่หากจุดประสงค์คือการมาดูสัตว์ต่างๆแนะนำให้มาช่วงต้นหรือปลายของฤดูแล้ง สาเหตุก็เพราะฤดูแล้งอากาศจะร้อนมากจนทำให้ปริมาณน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว หนองน้ำต่างๆ จากเดิมที่กินพื้นที่ใหญ่มหาศาลก็จะลดแคบลงทำให้ระบบนิเวศของสัตว์ที่ต้องพึ่งพาน้ำเพื่ออยู่อาศัย ก็ลดแคบลงด้วย นึกภาพตามง่ายๆนะคะ สัตว์ทุกชนิดต้องพึ่งน้ำ ถ้าหนองน้ำลดลง ปลาที่เคยอาศัยอยู่กระจัดกระจายก็ต้องมาอยู่รวมกัน สัตว์อื่นๆที่ต้องกินปลา หรือกินน้ำเพื่อดำรงชีวิต ก็จะออกมาอยู่อาศัยในที่ๆยังพอจะเหลือน้ำนี้ ทำให้เราจะสามารถเห็นสัตว์ได้ทุกชนิดโดยไม่ต้องพยายามหาเลย และสาเหตุที่ไม่แนะนำให้มาช่วงกลางของฤดูแล้ง จริงอยู่ว่าเราอาจจะเห็นสัตว์ได้เยอะกว่าแต่อุณหภูมิที่ร้อนสูงกว่า 40 องศา น่าจะเป็นการเที่ยวที่ทรมานเกินไปค่ะ
การแต่งตัวและสิ่งที่ต้องเตรียม คลิกที่นี่
1. เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ผ้าระบายความร้อน
2. รองเท้าเดินป่า แบบกันน้ำได้ก็ดี 3. ถุงเท้าบาง ระบายความร้อนได้ดี 4. หมวก (แนะนำปีกกว้างหรือเป็นแบบที่มีส่วนผ้าที่ปิดไปถึงหลังคอ เพราะตอนเดินป่านั่งเรือแดดแรงใช้ได้เลยค่ะ) 5. มุ้งคลุมหัว กันแมลงตอนกลางคืน 6. กล้องส่องทางไกลเล็กๆ ไว้ส่องสัตว์ 7. เสื้อกันฝน อันนี้ติดไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา 8. แว่นตากันแดด 9. ครีมกันแดด 10. ยากันยุง 11. ไฟฉายเล็กๆ 12. กล้องถ่ายรูป พร้อมเลนส์ยาว 13. กางเกงขาสั้น เสื้อยืด รองเท้าแตะ (สำหรับเวลากลางวันตอนอยู่ในบริเวณที่พัก) อุปกรณ์ทั้งหมด ถ้าไม่อยากลงทุนซื้อแพง ก็หาได้ทั้งหมดที่ DECATHLON เลยค่ะ แต่งออกมาหน้าตาก็จะประมาณนี้ค่ะ
สำหรับทริปนี้ เราจองทัวร์ผ่านบริษัท Brazil Nature Tour หากใครสนใจก็เข้าไปดูโปรแกรม และรายละเอียดเกี่ยวกับราคาตามลิงค์นี้เลยนะคะ https://www.brazilnaturetours.com/ แทนเดินทางช่วงวันที่ 6 - 22 มิถุนายน 2018 ซึ่งถือเป็นช่วงของต้นหน้าแล้ง อากาศช่วงนี้กำลังดีเลยค่ะ อากาศไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป แทนจะไม่ลงรายละเอียดในแต่ละวัน แบบชนิดเช้าสายบ่ายเย็นเหมือนทริปก่อนๆนะคะ เนื่องจากการเที่ยวป่าครั้งนี้ กิจกรรมในแต่ละวันค่อนข้างเหมือนกันทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งเรือชมสัตว์ต่างๆไปตามแม่น้ำ และนั่งรถซาฟารีเพื่อถ่ายรูปสัตว์จากบนรถ สลับกับการเดินป่าไปตามเส้นทาง Track ที่เขาจัดไว้ แทนขอแบ่งการเล่าเรื่องทริปเป็นทั้งหมด 3 ตอน โดยจะยึดตามจุดหมายของเรา 3 จุด Part I เป็นการเที่ยวในเมืองจะเป็น link ซ่อนข้อความอยู่ กดอ่านตามสีได้เลยค่ะ
PART I - São Paulo
เที่ยวในเมืองของบราซิล 1 วันก่อนเข้าป่า
การเดินทางเริ่มต้นด้วยเที่ยวบินกรุงเทพ - บราซิลโดยไปลงที่เมือง São Paulo แทนแวะ Transit ที่ Istalbul เนื่องจากบินด้วยสายการบิน Turkish Airlines ค่ะ เวลา Transit นานถึง 4 ชม. แต่ขอบอกว่าไม่รู้สึกนานเลยเพราะ lounge ของ Turkish Airline คือดรีมากกก กว้างใหญ่ 2 ชั้น ซุ้มอาหารเครื่องดื่มอย่างเยอะ อย่างกะ Buffet ในโรงแรมแหน่ะ แล้วยังมีห้อง theatre พร้อม popcorn ให้ตักตามใจชอบ มีห้องอาบน้ำให้ใช้บริการด้วย บริการครบมาก อ่ะ.. ชมภาพค่ะ
เย้! ถึงซักที หลังจากการนั่งเครื่องอันแสนยาวนาน (นับๆแล้ว 28 ชม รวม Transit!!) เรารีบตรงเข้าโรงแรมทันที ต้องการอาบน้ำ พร้อมนอนเหยียดอย่างแรง! เราเลือกพักที่โรงแรม Pullman Airport Hotel เพราะอยู่ใกล้สนามบินเนื่องจาก flight ที่เราจะต้องบินในวันถัดมาค่อนข้างเช้ามาก และไม่อยากจะเสี่ยงกับการจราจร เพราะเมือง São Paulo นั้นขึ้นชื่อเรื่องรถติดอยู่ทีเดียว การนอนพักในเมือง São Paulo 2 คืน เพื่อให้ได้เที่ยวในตัวเมือง São Paulo 1 วัน เหมือนเป็นการพักเบรคจังหวะแรก เพื่อเปิดหูเปิดตาในเมือง ก่อนที่จะขึ้นเครื่องอีกครั้งเพื่อเดินทางเข้าสู่ป่าธรรมชาติที่แท้ทรู
One day in São Paulo
São Paulo อ่านว่าเซาเปาลูเป็นเมืองหลวงของรัฐเซาเปาลูเมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและมีประชากรมากที่สุดในประเทศบราซิล ภาษาหลักที่ใช้ที่นี่คือภาษาโปรตุเกส เมืองนี้มีจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ Art Museum หรือสวนสาธารณะรวมทั้งโบสถ์ด้วย
ขึ้นมาจากสถานีก็จะเห็นโบสถ์ซานเปาโลสวยงามอยู่ตรงหน้า เป็นโบสถ์ทรงสูง สวยงามดีค่ะ เดินเข้าไปกำลังมีพิธีกรรมอยู่พอดี หลังจากใช้เวลาอยู่ในโบสถ์พร้อมถ่ายรูปบริเวณลานด้านหน้าประมาณแค่ครึ่งชั่วโมง ก็เรียก Uber เพื่อมุ่งหน้าไปยัง Pinacoteca do Estado de São Paulo ซึ่งเป็น Art Museum หลักของเมือง São Paulo พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ใกล้สถานี luz เป็นอาคาร 2 ชั้นลักษณะเป็น hall อิฐกว้าง ศิลปะที่โชว์มีทั้งภาพวาด รูปปั้น และงานศิลปะอื่นๆทั้งใหม่และเก่าแยกกันไปเป็นห้องๆ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณชั่วโมงกว่าได้ ค่าเข้าชมอยู่ที่ 6 reals เท่ากับประมาณ 55 บาท (ถูกไปไหม) สำหรับผู้ใหญ่อายุเกิน 60 ไม่คิดเงินอีกตะหากเอาสิ
บริเวณติดกันกับพิพิธภัณฑ์นี้ มีสวนสาธารณะใหญ่สวยงามชื่อ Parque Jardim da Luz เราเดินเล่นถ่ายรูปในสวนอยู่ประมาณ 10 นาที อากาศเริ่มเย็นลง พระอาทิตย์ใกล้จะตก เราเดินมุ่งหน้าต่อไปที่ Estação Pinacoteca ซึ่งเป็น Art exhibition ที่อยู่ถัดจากสวนไปประมาณเพียง 500 เมตร ภายในมีห้องสมุดเก๋ๆด้วย ที่นี่ค่อนข้างจะเงียบและไม่ได้มีงานศิลปะเด่นอะไรโชว์ในช่วงที่เราไป
เริ่มมืดแล้ว เราเรียก Uber ตั้งใจจะมุ่งหน้าไปตลาดผลไม้ Mercado Municipal de São Paulo แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ที่รถติดมากกกก รอรถก็นาน แล้วยังติดอยู่ในรถเกือบชั่วโมง ดูเวลาคิดว่าไปถึงตลาดก็คงปิดแล้วแน่ๆ เลยต้องบอกให้คนขับเปลี่ยนทิศส่งเรากลับโรงแรมดีกว่า สรุปอดไปตลาดค่ะ ขากลับขับผ่าน Theatre อีกที กลางคืนสวยไปอีกแบบ ... จบ 1 วันที่ São Paulo เพียงเท่านี้ ^_^
PART II - Cristalino, Alta Floresta
Highlight คือการชมนกหายากกว่า 500 สายพันธุ์ (ที่พักชื่อ Cristalino Lodge) PART III - Pantanal Highlight คือ Jaguar, Caiman, Capybara (ที่พักชื่อ Pousada Rio Claro และ Hotel Pantanal Norte - Porto Jofre)
Part II - Cristalino, Alta Floresta
วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะเดินทางเข้าป่านะคะ ปลายทางของเราคือเข้าที่พัก Cristalino Jungle Lodge ซึ่งอยู่ในเขต Alta Floresta, Mato Grosso การเดินทางเข้าถึงจุดนี้ค่อนข้างจะหลายต่อหน่อยนะคะ สรุปได้ดังนี้ค่ะ 1. เที่ยวบินจาก Sao Paulo ไปลงที่ Cuiaba เมืองหลวงของรัฐ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2:20 hrs 2. ต่อด้วยเที่ยวบิน Cuiaba ไปยัง Alta Floresta ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1:20 hrs 3. หลังจากนั้นจะมีรถรับส่งของโรงแรมมารับที่สนามบิน เพื่อนั่งรถอีกประมาณ 1 ชม.ครึ่งมาที่ท่าเรือ 4. หลังจากนั้นก็นั่งเรือเข้ามาตามแม่น้ำเทเลส พีเรส อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อเข้าสู่ที่พัก
การเดินทางวันนี้เริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้าออกจากเซาเปาโล และมาถึงที่พัก Cristalino Lodge เวลา 5 โมงเย็น เรียกได้ว่าเดินทางทั้งวันเลยค่ะ เนื่องจากกว่าจะถึงที่พักก็เย็นแล้ว วันแรกก็จะไม่มีกิจกรรมเลย ไกด์ประจำที่พักพาเราเดินชมบริเวณรอบรอบ พร้อมต้อนรับทุกคนเข้าสู่ห้องพักภายในห้องพักวางการ์ดต้อนรับ พร้อมกับคู่มือโบรชัวร์ที่รวมภาพสัตว์ต่างๆที่เราจะเจอพร้อมชื่อกำกับให้เราตื่นเต้นล่วงหน้า
สำหรับที่พัก Cristiano lodge นี้ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของป่าอเมซอน อยู่ในเขตพื้นที่สงวนมรดกทางธรรมชาติของบราซิล ซึ่งถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงโดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบนก เนื่องจากเป็นพื้นที่รวมของสายพันธุ์นกหายากทั้งหมด 586 ชนิดเลยทีเดียว นกมาคอว์ นกแก้ว ทูแคน สามารถมองเห็นได้ในระยะใกล้ นอกจากนกแล้ว สัตว์ใหญ่เช่น คาปิบาร่า นากยักษ์ และ จระเข้เคแม่นก็พบเห็นได้ทั่วไป การเที่ยวที่นี่เน้นให้นักท่องเที่ยวใกล้ชิดกับธรรมชาติและสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวป่าแบบเชิงนิเวศ คือเที่ยวชมศึกษาธรรมชาติป่าแบบไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ไกด์นำทางของเรา 2 คนเป็นนักอนุรักษ์ คนนึงเป็นไกด์ประจำที่พัก อีกคนเป็น Bird expert ทั้งคู่จะคอยนำทางพร้อมให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ต่างๆตลอดทั้งทริป
Cristalino Lodge จัดว่าเป็น Ecolodge ที่ได้รับรางวัลมากมายเกี่ยวกับการสร้างที่พักที่มีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ เค้าจะเน้นการออกแบบเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมมากๆ ห้องพักที่นี่จึงไม่มีแอร์นะคะ ห้องเป็นลักษณะบังกะโลมีพัดลมใหญ่บนเพดานให้ 1 ตัว แต่ไม่ต้องตกใจนะคะ แม้กลางวันอุณหภูมิที่นี่จะร้อน แต่กลางคืนอุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 20 องศา เปิดพัดลมแล้วเย็นกำลังดีเลยค่ะ ไฟฟ้าภายในห้องทั้งหมดได้มาจากแผงโซล่าเซลล์ น้ำร้อนก็มาจากพลังงานแสงอาทิตย์เช่นกัน มีระบบบำบัดน้ำเสียของเค้าเอง เรียกได้ว่าอยู่กับธรรมชาติที่แท้จริงเลยล่ะค่ะ ส่วนตัวแล้วชอบที่พักที่นี่มาก สงบร่มรื่น ภายในห้องสะอาด บริเวณ Common area และห้องอาหารดูเป็นสัดส่วน แปะลิงค์ที่พักไว้ให้ดูที่นี่นะคะ http://cristalinolodge.com.br/en
กิจกรรมที่เราทำระหว่างพักที่นี่ 4-5 วัน ก็จะเหมือนๆกัน โดยเริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น (ประมาณตี 5 ครึ่ง) หลังจากนั้นก็เริ่มออกเดินเท้ามุ่งหน้าไปขึ้นหอคอยสูง 50 เมตร เพื่อสังเกตธรรมชาติจากมุมสูงซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ หอคอยที่นี่มีอยู่ 2 จุด ตั้งอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำ เป็นหอคอยเหล็กชุบสังกะสี ความสูง 50 เมตร โดยมี Platform ให้หยุดพักที่ความสูงประมาณ 30 เมตร ก่อนถึงยอดสูงสุดที่ 50 เมตร ความสูงที่ต่างระดับนี้ช่วยให้สามารถสังเกตป่าได้ทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับพื้นดิน ระดับเดียวกับต้นไม้ เลยไปถึงระดับพ้นยอดต้นไม้ ทำให้สามารถมองเห็นผืนป่าหนาทึบกระจายออกไปจนสุดสายตา หมอกที่ค่อยๆพัดมาเทียบกับความสูงของป่าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเป็นอะไรที่สวยงามมาก และในช่วงเวลาที่เริ่มมีแสง นกต่างๆก็จะเริ่มบินออกหากิน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะได้เห็นนกจำนวนมากมายจากหอคอยนี้ อ่ะ.. ชมวีดีโอบน Tower ค่ะ
แต่บอกเลยว่าการถ่ายรูปนกจากบนหอคอยนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือของไกด์ท้องถิ่นคอยบอกตำแหน่ง ไกด์ที่นี่ไม่ใช่ไกด์ท่องเที่ยวธรรมดานะเคอะ เค้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับป่าและพันธุ์สัตว์ในบริเวณ มีความสามารถในการชี้เป้านกและสัตว์ทุกชนิดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำสุดๆ แม้ระยะที่เห็นจะอยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยเมตร บางทีแค่ได้ยินเสียงนกร้องก็จะรู้ทันทีว่านกตัวนั้นพันธุ์อะไรตัวผู้หรือตัวเมีย บินมาจากทิศไหนและกำลังจะไปเกาะตรงไหน ขนาดบางทีไกด์ชี้ให้พวกเราดู เรายังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ใช้เวลาหาอยู่นาน จนไกด์บอกเบาเบา นกบินไปแล้วค่ะ 555
เราใช้เวลาอยู่บนหอคอยในแต่ละวันประมาณ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น จนขึ้นพ้นขอบฟ้า เมื่อแดดเริ่มแรงก็จะทยอยเดินลงมากัน กิจกรรมถัดไปก็จะเป็นการล่องเรือไปตามแม่น้ำ cristalino และแม่น้ำ เทเลส พีเรส ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาสายหนึ่งของแม่น้ำอเมซอน เพื่อสังเกตสัตว์และนกชนิดต่างๆ ที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ริมตลิ่ง เมื่อเจออะไรที่น่าสนใจ ไกด์ก็จะชะลอความเร็วและค่อยๆเข้าใกล้เพื่อให้พวกเราได้ถ่ายรูป ส่วนใหญ่เราจะใช้เวลาอยู่บนเรือจนถึงประมาณ 10 โมงครึ่ง พอแดดเริ่มแรงก็จะกลับเข้าที่พัก ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่เราได้อาบน้ำและเบรคพักผ่อนในแต่ละวัน
พอถึงช่วงเที่ยงก็จะได้ยินเสียงระฆังเต้งๆ เป็นสัญญาณว่าได้เวลาอาหารเที่ยง ทุกคนก็จะออกมาพบกันที่บริเวณห้องอาหาร อาหารจะเป็นลักษณะบุฟเฟ่ต์กินได้ตามใจชอบ อร่อยใช้ได้เลยค่ะ หลังมื้อเที่ยงพวกเราก็จะแยกย้ายกันอีกครั้งเพื่อพักผ่อนและรอเวลาเพื่อนั่งเรือชมสัตว์อีกครั้งในช่วงบ่าย (ประมาณ 3 ถึง 6 โมงเย็น)
ในบางวันที่ช่วงเช้าเราไม่ได้ขึ้นหอคอย ก็จะมีกิจกรรมการเดินป่าสั้นๆ ระยะประมาณ 1-2 กิโลเมตร กิจกรรมนี้เป็นอะไรที่เพลินมาก บอกเลยค่ะ ไกด์จะเป็นคนนำทางพร้อมเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับสิ่งที่เราเห็นตามทาง ไกด์คนหนึ่งของเราจะมีลำโพงเล็กๆ ติดอยู่ที่เอวพร้อมกับ iPod เมื่อสังเกตเห็นนกชนิดใด ก็จะรีบหมุน iPod เปิดเสียงนกชนิดดังกล่าว เพื่อล่อให้มันมารวมตัวกัน บางทีก็ส่งเสียงร้องประหลาดจากปากตัวเองด้วย นอกจากการชมธรรมชาติและสัตว์แล้ว การชมไกด์ก็เป็นอะไรที่สนุกและเพลิดเพลินมากเช่นกัน 555
กิจกรรมก็จะเป็นลักษณะนี้วนไปในแต่ละวันๆ บางวันก็มีกิจกรรมแทรกหลังอาหารเที่ยงเช่นการเดินรอบๆบริเวณที่พัก เพื่อสังเกตหาดูลิงแมงมุม (white-whiskered spider monkey ) ลิงเฮาเลอร์มือแดง (red handed howler monkey), ลิงคาปูจิน (capuchins) นก, ค้างคาวและแมลงต่างๆ และบางคืนก็มีการนั่งเรือรอบดึก เป็นลักษณะ Night Safari เพื่อส่องสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน อาหารค่ำของที่นี่จะเริ่มต้นตอน 1 ทุ่ม และแยกย้ายกันเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อนประมาณ 2-3 ทุ่มของทุกวัน Cristalino ก็จะประมาณนี้ค่ะ ชมภาพที่เหลือปิดท้ายนะคะ
Part III - Pantanal
มาถึงตอนสุดท้ายแล้วค่ะ ก็อย่างที่ได้เกริ่นไว้ตอนต้นนะคะ Pantanal (พันทานาล) เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือที่ราบลุ่มน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และยังได้ชื่อว่าเป็นบริเวณที่มีสัตว์อาศัยอยู่รวมกันมากที่สุดในทวีปอเมริกาเลยก็ว่าได้ สภาพพื้นที่นั้นก็จะเป็นที่ราบต่ำ พื้นที่ที่อยู่สูงหน่อยก็จะเป็นป่าถาวร ส่วนบริเวณที่ต่ำก็จะเป็นหนองน้ำ อาชีพหลักของคนพื้นที่นี้คือการเลี้ยงวัว พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นฟาร์ม เจ้าของฟาร์มบางแห่งก็จะทำโรงแรมเล็กๆไว้ภายในฟาร์ม เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาพัก และชมธรรมชาติและสัตว์ไปพร้อมๆกัน การเดินทางจาก Cristiano มายัง Pantanal เริ่มจาก 1 เครื่องบินจาก Alta Floresta มาลงที่เมือง Cuiabá (คุยาบา) สนามบินครึ่งทางที่ก่อนหน้านี้เราได้แวะไปแล้ว 2 จากสนามบิน Cuiabá ก็นั่งรถมุ่งหน้าต่อไปที่เมือง Poconé (โปโคเน่) ซึ่งเป็นเหมือนประตูทางเข้าสู่พื้นที่ Pantanal ทางตอนเหนือ ส่วนนี้จะเป็นการนั่งรถเข้าสู่ทางดินแดงขรุขะถึง 3 ชั่วโมง
พื้นที่ของ Pantanal นี้จะมีถนนเส้นหลักอยู่เพียงเส้นเดียว เป็นถนนดินแดงยาวกว่า 150 กม มีชื่อว่า Transpantaneira ตัดจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ แบ่งพื้นที่พัฒนาออกเป็น 2 ฝั่งซ้ายและขวา ระหว่างการเที่ยวที่นี่ เราจะมีการย้ายที่พัก 2 แห่งด้วยกัน ที่พักที่แรกชื่อว่า Pousada Rio Claro ซึ่งจะอยู่บริเวณหัวถนนตอนเหนือของถนนเส้นหลักนี้ ส่วนที่พักที่ 2 ชื่อ Hotel Pantanal Norte - Porto Jofre จะอยู่บริเวณใต้สุดหรือสุดทางของถนนเส้นหลักนี้ค่ะ
ระหว่างทางเข้าสู่โรงแรม บนถนนดินแดงเส้นนี้เราจะได้เห็นนกนานาชนิด พร้อมจระเข้เคแม่นหลายร้อยตัวนอนแผ่แดดอยู่ตามหนองน้ำบริเวณข้างทาง บางทีก็มีครอบครัว Capybara หนูยักษ์น่ารัก หลายตัวเดินข้ามถนนเป็นแถว แบบต้อนรับนักท่องเที่ยวเต็มที่เลย
กิจกรรมที่นี่จะแตกต่างจากที่ Cristalino ใน Part 2 คือจะเน้นเป็นการนั่งรถซาฟารีเที่ยวชมป่าชุ่มน้ำไปตามถนนหลัก โดยแบ่งเป็น ช่วงเช้ารอบนึง ช่วงเย็นอีกรอบนึง บางคืนมีเพิ่มรอบดึกให้อีกรอบนึงด้วย สัตว์ที่จะได้เห็นนั้นก็มีทั้ง นก ทั้งเล็กใหญ่ เหยี่ยว งู กวาง สุนัขจิ้งจอก คาพีบาร่า จระเข้ โอยย....เยอะ นอกจากนี้ช่วงบ่ายๆยังมีการขี่ม้าไปตามพื้นที่ชุ่มน้ำที่ไม่สามารถเดินได้ เป็นดินโคลนเละๆ อันนี้เลือกได้ว่าจะขี่หรือไม่ขี่ค่ะ ก็ควรลองนะคะ สนุกไปอีกแบบค่ะ
นอกจากการนั่งรถซาฟารีแล้ว ก็ยังมีอีก 3 วันเต็มสำหรับการนั่งเรือชมสัตว์บริเวณแม่น้ำที่เต็มไปด้วยปลาปิรันย่าและจระเข้ Caiman ไฮไลท์ที่นี คือการตามหาเสือจากัวร์ ที่ออกหาอาหารอยู่ตามริมน้ำ เหยื่อของเสือจากัวร์ก็คือจระเข้และคาปิบาร่านั่นเอง การนั่งเรือออกตามหาจากัวร์จะเป็นลักษณะช่วยเหลือกันเป็นทีม โดยเรือแต่ละลำของนักท่องเที่ยวจะแยกย้ายล่องไปตามแม่น้ำที่แตกแขนงออกไปเพื่อตระเวนหาเสือ เมื่อเรือลำใดลำนึงเจอพิกัดของเสือแล้ว ก็จะทำการวอเรียกเรือลำอื่นๆทันที เรือแต่ละลำจะแล่นด้วยความเร็วสูงมายังจุดที่เสืออยู่นี้อย่างรวดเร็ว วิธีนี้ทำให้เราเจอเสือจากัวร์ทั้งหมด 6-7 ตัวภายใน 2 วันเลยทีเดียว เมื่อเราเข้าใกล้จากัวร์แล้ว เรือจะเว้นระยะห่างจากริมน้ำพอสมควร และไกด์จะย้ำมาก ให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ไม่ขยับตัว หรือส่งเสียงใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ทำให้ธรรมชาติตกใจ เพราะหากมันรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือถูกบุกรุก มันก็พร้อมที่จะจู่โจมผู้บุกรุกได้ทันที
อีกหนึ่งไฮไลท์คือการให้อาหารจระเข้ Caiman โดยระหว่างที่เราล่องเรือไปตามน้ำ คนเรือจะทำการผูกปลาปิรันย่าที่ตายแล้วไว้ที่คันเบ็ดแล้วล่อมันอยู่บริเวณเหนือผิวน้ำ เมื่อจระเข้ว่ายมาใกล้ก็จะคอยตวัดเอาปลาที่แขวนเบ็ดนั้นขึ้นจากแม่น้ำ เพื่อให้จระเข้กระโดดขึ้นมากิน จังหวะนี้ก็เฝ้ารอเตรียมถ่ายรูป Action สวยๆระยะ close up ได้เลย อ่อ!..สำหรับหลายๆคน ที่กลัวอันตรายจากจระเข้ Caiman จะบอกว่าไม่ต้องกลัวไปนะคะ เพราะอาหารของ Caiman คือปลา สัตว์เลื้อยคลานและนกขนาดเล็กเท่านั้นค่ะ Caiman ไม่กินคนและออกจากกลัวคนด้วยซ้ำค่ะ
หลังจากที่ได้สัมผัสและอยู่กับธรรมชาติเต็มๆ 2 อาทิตย์ ก็มาถึงวันสุดท้ายที่ต้องเดินทางกลับ วันนี้คือวันหฤโหดแห่งการเดินทาง ว่าไปแล้วมันเป็นการเดินทางที่ไกลและยาวที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ระยะเวลาเดินทางพร้อมรอเครื่องก็ประมาณ 48 ชม. ได้!! เริ่มต้นจาก
1. Check out จากโรงแรมตอนตี 4 เพื่อนั่งรถจากบริเวณใต้สุดของ Pantanal ผ่านเมือง Poconé (โปโคเน่) มุ่งหน้าไปยังสนามบิน Cuiabá ใช้เวลาอยู่บนรถนานถึง 6 ชั่วโมง 2. เมื่อเดินทางถึง Cuiabá Airport ก็นั่งเครื่องต่อ อีก 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อมาลงที่ Sao Paulo Airport 3. จากนั้นนั่งเครื่องอีก 10 ชั่วโมงครึ่ง มา Transit ที่ Istanbul รอต่อเครื่องอีก 4 ชม.กว่า 4. สุดท้ายนั้นนั่งเครื่องบินอีก 14 ชั่วโมงครึ่ง มาถึงกรุงเทพ!!! โหดมั๊ยล่ะ!!! … แต่โหดยังไงก็คุ้มค่ะ สำหรับทริปนี้ ขอบคุณผู้ร่วมทริปทุกคนที่คอยให้คำแนะนำเรื่องถ่ายภาพ และวีดีโอ, ขอบคุณรูปสวยๆจากกล้องแม่และพ่อ และขอบคุณที่สุดที่ชวนแทนร่วมทริปนี้ มันเป็นอะไรที่สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตมากจริงๆค่ะ ^_^ |