FOLLOW ME MODE
  • Home
  • My Adventures
    • NAMIBIA
    • KENYA
    • GERMANY
    • ICELAND
    • NEW ZEALAND
    • BRAZIL
    • MYANMAR
  • IMAGES
  • VDO
  • My Story
​2017

ICELAND


REYKJAVIK & THE RING ROAD

ICELAND

9/1/2017

Comments

 
ผ่านมาก็หลายเดือนแล้ว ตั้งใจว่าจะแชร์รายละเอียดทริปไอซ์แลนด์นี้ตั้งแต่กลับมาแรกๆ เพิ่งจะมาได้ฤกษ์ก็วันนี้เอง นั่งทบทวนย้อนความจำกันพอสมควรเลย สะกดผิดหรือขาดตกบกพร่องตรงไหน ขออภัยล่วงหน้าด้วยนะคะ ​:)
เชื่อว่าถ้าใครได้เคยเห็นรูปสวยๆจากธรรมชาติ วิวทิวทัศน์ น้ำตก หน้าผา ภูเขา พร้อมกับแสงเหนือที่ปรากฏบนท้องฟ้าของประเทศไอซ์แลนด์แล้ว หลายๆคนคงอยากจะไปสัมผัสด้วยตาของตัวเองสักครั้งในชีวิตแน่นอน ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างของสถานที่แต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ภูเขา และธารน้ำแข็งที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติอันงดงามนี้ ทำให้ไอซ์แลนด์กลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์ ที่หลายคนยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งเกาะในฝัน ที่อยากจะมาสัมผัสมากที่สุด ฉันก็เป็นหนึ่งคนนั้นที่โชคดีหาโอกาสเหมาะได้ไปกับเค้าซักที ^_^
Picture
การเริ่มต้นวางแผนสำหรับ Road Trip รอบเกาะไอซ์แลนด์ครั้งนี้ ถือเป็นทริปที่ใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้าค่อนข้างนานทีเดียว เนื่องจากเป็นทริปที่จัดเอง ขับเอง เที่ยวเอง เลยต้องสำรวจเส้นทาง สถานที่สำคัญต่างๆ ร้านอาหาร รวมถึงการจองรถ และที่พักแต่ละคืนอีกด้วย เตรียมแผนล่วงหน้าอยู่หลายเดือนทีเดียว โดยสมาชิกก็จะมีแค่ 3 คน แทน และพ่อแม่ค่ะ บอกก่อนนะคะ Trip นี้ไม่ได้เป็น Trip ตามล่าแสงเหนือนะคะ เนื่องจากแทนไปช่วงปลายเดือนก.ค. - ต้นเดือนส.ค. (2017) ซึ่งถือเป็นช่วงหน้าร้อนของประเทศ และไม่ได้เป็นช่วงฤดูที่จะได้เห็นแสงเหนือเต้นระบำอยู่บนท้องฟ้าเลยค่ะ เอาล่ะไม่พูดยืดเยื้อแล้ว เรามาเริ่มต้นเล่าเรื่องทริปเลยดีกว่า (สำหรับข้อมูลการเตรียมตัวก่อนเดินทางและรายละเอียดเกี่ยวกับ Iceland แทนรวมเอาไว้อยู่ท้ายหน้าสำหรับคนที่สนใจอ่านเพิ่มเติมนะคะ)
สำหรับการขับรถ ขอเริ่มทำการ Overview Route เดินทางด้วยแผนที่นี้ค่ะ ​ถนนที่เราจะขับคือเส้นหลักรอบเกาะหรือที่เรียกว่า The Ring Road มีระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 1,350 กม. ถ้ารวมการขับเข้าออกถนนเล็กถนนน้อยในแต่ละวัน และการย้อนกลับไปมา (ในวันที่โรงแรมบางวันต้องย้อนกลับไปพัก) รวมๆออกมาแล้วการขับ 10 วันก็จะประมาณ 2 พัน กม. ได้ค่ะ 
Picture
Picture
ลักษณะการขับรถก็ง่ายๆเลยค่ะ ปักหมุดโรงแรมและสถานที่ต่างๆใน google map ไว้ให้พร้อม ตื่นมาในแต่ละวันก็แค่ขับไปตามเส้นทางที่ปักหมุดไว้จนครบ วันไหนที่ดูล่วงหน้าว่าต้องขับไกลหรือมีที่ต้องหยุดเยอะ ก็ไม่โอ้เอ้นัก วันไหนชิลได้ ก็ตื่นสายได้นิดหน่อย ส่วนที่พักทั้งหมด 9 คืน แทนจองผ่าน Hotels.com หมดเลย โดยรวมคือสะอาดน่าอยู่ จะมีบางคืนที่ก็จะรู้สึกบรรยากาศดีและสวยเป็นพิเศษ แต่โดยทั่วไป อยู่ได้สบายๆทุกคืนเลยค่ะ โรงแรมที่นี่ส่วนใหญ่เวลาเช็คอินคือหลังบ่ายสามโมง และ เวลาเช็คเอาท์คือก่อน 10 โมงเช้านะคะ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรอยู่แล้ว เนื่องจากเราจำเป็นต้องออกแต่เช้าและกลับเย็นทุกวันอยู่แล้ว ที่พักในแต่ละคืนก็จะมีหลายประเภท บางที่เป็นโรงแรม บางที่จะเป็นลักษณะอพาร์ตเม้นต์ ซึ่งในบางที่จะไม่มีพนักงานต้อนรับ ต้อง Self-Checkin เอาเอง อันนี้เข้าใจได้ว่า เนื่องจากประเทศนี้ค่าครองชีพแพงมาก ก็คงจะไม่คุ้มหากโรงแรมต่างๆต้องมาจ้างพนักงานต้อนรับคอยเฝ้ารอแขกที่นานๆทีจะโผล่มาสักที แต่การ Self-Checkin ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนะคะ โรงแรมหรือที่พักจะทำการส่งอีเมลคู่มือการเข้าพักล่วงหน้ามาให้ก่อน บางที่ก็จะบอกโค้ดการเข้าประตูหน้า บางที่ก็จะบอกที่ซ่อนของกุญแจห้องมาให้ ก็เป็นอะไรที่สนุกไปอีกแบบค่ะ List ชื่อโรงแรมทั้งหมดที่แทนพัก แทนรวบรวมมาให้พร้อมลิ้งค์ทั้งหมดด้านล่างนี้นะคะ ใครอยากก๊อป ก๊อปได้เลยค่ะ (กดดูรูปที่พักแต่ละที่ได้จาก Link เลยค่ะ)
  • ​Bergas Guesthouse
    เช็คอินวันจันทร์ 31 กรกฎาคม 2560
  • Bella Apartments & Rooms
    เช็คอินวันอังคาร 1 สิงหาคม 2560
  • Hotel Edda Skogar
    เช็คอินวันพุธ 2 สิงหาคม 2560
  • Hotel Skaftafell
    เช็คอินวันพฤหัสบดี 3 สิงหาคม 2560 
  • Studio Guesthouse Seydisfjordur
    เช็คอินวันศุกร์ 4 สิงหาคม 2560 
  • Apotek Guesthouse Akureyri
    เช็คอินวันเสาร์ 5 สิงหาคม 2560 
  • North Star Hotel Staðarflöt
    เช็คอินวันอาทิตย์ 6 สิงหาคม 2560
  • Grundarfjördur Hostel 
    เช็คอินวันจันทร์ 7 สิงหาคม 2560
  • Luna Apartments Laugavegur 37
    ​เช็คอินวันอังคาร 8 สิงหาคม 2560 

Iceland วันที่ 1 (Jul 31)
ระยะทาง : 27.3 กม.

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
• Blue Lagoon 
Picture
เนื่องจาก Flight ที่แทนเลือกนั้น บินออกจาก Copenhagen ตอน 14.30 ไปถึงสนามบิน Keflavik (เป็นสนามบินหลักของเมือง Reykjavik) ก็บ่ายสามครึ่งแล้ว (สายการบิน Icelander Air) หลังจากที่ตรงไปรับรถที่ counter ก็เกือบ 4 โมงแล้ว วันแรกเลยถือเป็นวันเก็บตก โดยเลือกที่จะไปแช่นํ้าแร่ใน Blue Lagoon ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก airport และโรงแรมนัก ขับออกมาไม่ไกลจากสนามบินก็เริ่มเจอ Icelandic horse ม้าสัญลักษณ์ของ Iceland กำลังยืนกินหญ้าตามทุ่งกันเป็นกลุ่มๆ
Rav4 Toyota
4 Wheel Drive Toyota Rav4
Picture
Icelandic horse
​The Blue Lagoon เป็นบ่อนํ้าร้อนนํ้าแร่ขนาดใหญ่มากๆ มีชื่อเสียงสุดๆ ลองไปแช่ดูสักครั้งถือเป็นประสบการณ์ชีวิตค่ะ อากาศเหนือระดับน้ำที่หนาวกับระดับอุณหภูมิใต้น้ำที่อุ่นกำลังดี อ๊าาห์.. มันสบายตัวมากจริงจริงง สบายจนไม่อยากขึ้น แช่จนตัวเปื่อยเลยทีเดียว อ่อ.. ถ้าเพื่อนๆสนใจจะไปแช่น้ำร้อนที่นี่ จะต้องทำการจองล่วงหน้าก่อนไปนะคะ การใช้บริการจะมีเป็นรอบๆ ที่แทนจองไว้คือรอบ 2 ทุ่ม - 3 ทุ่ม ดูรายละเอียดราคาและทำการจองผ่านเว็บ Blue Lagoon ได้ ที่นี่ ค่ะ
แช่น้ำแร่ที่ Blue Lagoon
Blue Lagaoon

​Iceland วันที่ 2 (Aug 1)
​ระยะทาง : 237 กิโลเมตร
​
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
• Þingvellir 
• Brúarfoss Waterfall
• Geysir
• Gullfoss Falls
Picture
จุดหมายแรกของเราวันนี้ Þingvellir - (อ่านว่าทิงเควลลิร์นะ ตัวแรกออกเสียงเหมือน th ไม่ใช่ตัว p) เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์ ถือเป็นจุดกำเนิดทางด้านธรณีวิทยาเพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร และยังเป็นจุดเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาและทวีปยุโรปอีกด้วย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของไอซ์แลนด์เลยก็ได้ นักท่องเที่ยวเยอะจริงๆ
Picture
Þingvellir
ขับมาอีกประมาณครึ่งชม. เพื่อมายังจุดที่สองของวัน Brúarfoss (the Blue waterfall) - แปลกใจมากที่สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยขนาดนี้แต่กลับเป็นนํ้าตกลึกลับที่หาทางเข้ายากพอสมควร น้ำตกนี้ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ และทางเข้าก็เป็นถนนที่เล็กมากจนดูเหมือนไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวด้วยซ้ำ การเปิด Google Maps และแกะรอยเดินตามป้ายเล็กๆพร้อมการเงี่ยหูฟังเสียงน้ำตกระหว่างทางจนเรามาเจอน้ำตกสีฟ้าเล็กๆนี้ถือเป็นความสนุกตื่นเต้นที่บอกเลยว่าคุ้มค่ามากสำหรับการเดินหาจนเจอ
Picture
Brúarfoss
Picture
Brúarfoss
ขับต่อมาอีกไม่ไกลนัก ประมาณ 15 นาที เราก็มาถึง Geysir (น้ำพุร้อนธรรมชาติ) - ที่นี่เพื่อนๆจะได้พบกับน้ำพุที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากพื้นกว่า 30-40 เมตร หรือในบางครั้งสูงได้ถึง 70-80 เมตร น้ำพุที่นี่จะเดือดและพุ่งโผล่จากพื้นดินเป็นระยะทุกๆ 3-5 นาทีสร้างความตื่นเต้นสนุกสนานแก่นักท่องเที่ยวที่รอคอยจังหวะในการถ่ายภาพขณะทีน้ำพุพุ่งสูง จะได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดปรบมือกันเป็นระยะเลย
Picture
Geysir
จุดหมายสุดท้ายของเราวันนี้ Gullfoss Falls (Golden Waterfall) - อภิมหานํ้าตก ไม่ได้เว่อร์ แต่เห็นแล้วขนลุกในความยิ่งใหญ่ของน้ำตกมากจริงๆ อลังการอะไรได้ขนาดนี้ มันแสดงให้เห็นว่าธรรมชาติมันช่างยิ่งใหญ่และมีพลังมากขนาดไหน ปริมาณเฉลี่ยน้ำที่ไหลของอภิมหาน้ำตกนี้สามารถวัดได้อยู่ที่ 4,944 คิวบิกฟุตต่อวินาที ถ้าไม่คุ้นเคยกับหน่วย เอาง่ายๆว่า เป็นปริมาณน้ำที่สามารถเติมตู้คอนเทนเนอร์ให้เต็มได้ 4 ตู้กว่าๆ ภายใน 1 วินาที!!  แถมลมที่นี่ยังแรงแบบสุด ๆ เด็กตัวเล็กๆ ถ้าไม่จับไว้มีสิทธิ์ตัวปลิวลอยไปตามลมได้ง่ายๆเลยล่ะ 
Picture
Picture
คืนนี้เราพักในเมือง Selfoss โรงแรมที่จองไว้เป็นลักษณะเหมือนอพาร์ทเม้นท์ 2 ห้องนอน ใหญ่กว้างขวางและตกแต่งสวยมาก มี Netflix ให้ดูฟรีอีกตะหาก เยี่ยมค่ะ
Picture
Picture
Picture
Picture

Iceland วันที่ 3 (Aug 2)
ระยะทาง : 166 กม

​สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

• Seljalandsfoss
• Skógafoss
• Vík í Mýrdal
• Reynisfjara​
• ​​Dyrholaey
Picture
ตื่นเช้าวันนี้ เราออกจากโรงแรมประมาณ เกือบ 9 โมง ใช้เวลาขับ 1 ชม. เพื่อไปยังจุดหมายแรกของวัน Seljalandsfoss (น้ำตกเซลย่าแลนด์สฟอส) - ถ้ามาถูกเวลาในวันที่แดดดีๆ จะเห็นสายรุ้งทำมุมสวยงามเป็นฉากบริเวณหน้านํ้าตกได้ น้ำตก Seljalandsfoss นี้มีความสูงกว่า 60 เมตร เป็นความสูงระดับที่ทำให้น้ำที่ตกลงมากระแทกพื้นดินนั้น ฟุ้งเป็นเม็ดละเอียดกระจายไปทั่ว นอกจากการยืนดูระยะไกลแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเดินตามทางเพื่อลอดเข้าไปด้านหลังของน้ำตกเพื่อสัมผัสความแรงของน้ำที่ตกลงมาในระยะใกล้ได้อีกด้วย แต่บอกไว้ก่อนนะคะ เปียกชุ่มไปทั้งตัวค่ะ ใส่เสื้อกันฝนยังเปียกเลยค่ะ กล้องธรรมดาไม่กันน้ำ ไม่ต้องถือเข้าไปนะคะ พังค่ะ
Picture
Picture
Picture
Picture
ถัดจากน้ำตก Seljalandsfoss ขับมาอีกเพียงครึ่งชม. ก็จะได้พบกับน้ำตกมหึมาอีกจุด น้ำตกนี้ชื่อว่า Skógafoss (น้ำตกสโคการ์) - น้ำตกที่สูงที่สุดของไอซ์แลนด์ โดยมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 61 เมตร ราวๆเดียวกับน้ำตก Seljalandsfoss แต่มีความกว้างมากกว่า (25 ม.) ม่านน้ำตกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนแบบไม่ต้องหาเลยค่ะ มันใหญ่จนทำให้สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลกนี้ดูเล็กจิ๋วไปหมด
Picture
Skógafoss
ออกจากน้ำตก เรามุ่งหน้าสู่เมือง Vík í Mýrdal - เมืองชายฝั่งที่อยู่บริเวณใต้สุดของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นเมืองที่ฝนตกแทบจะทั้งปี ใครเห็นฟ้าใสๆ ของพื้นที่แถวนี้ถือว่าโชคดีมาก นอกจากการเดินเล่นเลียบหาดทรายสีดำ Reynisfjara Beach (เรย์นิสเฟียอร่า) ที่จะสามารถถ่ายรูปกับแนวโขดหินบะซอลต์ยักษ์ทรงกระบอกหกเหลี่ยมที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆแล้ว จุดท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้อีกจุดก็คือ Dyrholaey (ดีร์โฮเลย์) เป็นแหลมที่ยื่นจากฝั่งออกไปนอกทะเล การกัดเซาะจากคลื่นและลมทะเลเป็นระยะเวลาอันยาวนานทำให้บริเวณแหลมนี้ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างและเกิดเป็นรู จนกลายเป็น Arch กลางทะเล ลักษณะคล้ายซุ้มประตูขนาดใหญ่จนได้ชื่อว่า Dyholaey หรือภาษาอังกฤษก็คือ Door Hill Island นั่นเอง ถัดออกไปติดกับแหลม ก็จะเห็น Reynisfjall sea cliffs กลุ่มหินรูปทรงประหลาด จุดนี้เป็นบริเวณที่มีนกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น นกพัฟฟิน (Puffin) ที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี นกทะเลปากยาว (Guillemots) และนกฟูลม่าร์ (Northern Fulmars)
Picture
จุดชมวิวบน Cliff
Picture
Black Beach จากมุมสูงบน cliff
Picture
Reynisfjara Beach (Black Beach)
Picture
Reynisfjara Beach (Black Beach)
Picture
Dyrholaey
Picture
Reynisfjall sea cliffs
โรงแรมที่พักคืนนี้ของเราต้องขับย้อนกลับไปเส้นทางเดิมทางน้ำตก Skógafoss อีกครั้ง ก่อนกลับเราแวะทานอาหารที่ร้านดังของเมือง Vik ชื่อ Halldorskaffi ค่ะ อาหารใช้ได้ค่ะ
Picture
Picture
Picture
Picture
สวนโรงแรม
Picture
วิวหน้าต่าง

Iceland วันที่ 4 (Aug 3)
ระยะทาง : 187 กม

​สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

• Mossy Lava Rocks
• Fjaðrárgljúfur Canyon
• Svartifoss waterfall
Picture
ออกจากโรงแรมเช้านี้ เราขับผ่านเมือง Vik เมื่อวานนี้อีกครั้ง และได้เห็นแหลม Dyrholaey และ Vik i Myrdal Church โบสถ์บนเขาประจำเมือง จากอีกมุมนึงของเมือง ก่อนออกจากเมือง Vik เราแวะที่ Icewear Outlet แบรนด์เสื้อหนาวประจำชาติของที่นี่ หากใครสนใจจะซื้อเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์กันหนาว ก็อย่าพลาดที่นี่นะคะ เพราะเป็น outlet ที่เดียวของประเทศ ถ้าไปซื้อในเมืองจะไม่ใช่ราคานี้ค่ะ
Picture
Dyrholaey & Vik i Myrdal Church
ระหว่างทางเช้านี้ สองข้างทาง เราได้ขับผ่านทุ่ง Mossy Lava Rocks - ทุ่งหินที่เคยเต็มทั่วไปด้วยการไหลหลากของลาวาจากภูเขาไฟ บัดนี้พื้นที่ทั้งหมดได้เย็นลงแล้ว และมันได้ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวหนาหลายนิ้วที่ทำให้ดูนุ่มสบายตาไปหมด บรรยากาศระหว่างทางสวยระเบิดเลยเธอ
Picture
Mossy Lava Rocks
ขับมาเรื่อยๆจนถึง Fjaðrárgljúfur Canyon ขอไม่วงเล็บภาษาไทยนะคะ สุดความสามารถในการออกเสียงให้ถูกได้ค่ะ 555 บอกได้คำเดียว ยิ่งใหญ่มาก! หุบเขาลึกนี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและธารน้ำแข็งเป็นเวลาสองล้านกว่าปี ตั้งแต่ยุค Ice Age กัดนานจนเป็นเหวลึกได้ 100 กว่าเมตร คิดดู! ชะโงกมองลงไปจะเห็นแม่น้ำ Fjaðrá ไหลผ่าน เราเริ่มเดินจากจุดจอดรถเข้าไปตามทาง บรรยากาศดีและวิวสวยมากจริงๆ การเดินจะไกลหน่อยนะคะแต่แนะนำว่าอย่าขี้เกียจ เดินไปจนกว่าจะไปต่อไม่ได้เลยค่ะ เพราะจุดชมวิวทุกจุดสวยแบบห้ามพลาดจริงๆ
Picture
Picture
Picture
Picture
หลังจากขับต่อมาอีกประมาณชม.นึง เราก็มาถึง Svartifoss waterfall นํ้าตกที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull น้ำตกนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Black Fall เป็นน้ำตกที่ตกลงมากจากหน้าผาของหินบะซอลต์สีดำที่เรียงตัวกันเป็นแท่งๆ ดูมีเอกลักษณ์มากค่ะ จุดนี้ต้องออกแรงเดินกันหน่อยนะคะ เพราะจากจุดจอดรถไปถึงน้ำตก รวมแล้วเป็นระยะ 2 กม ใช้เวลาเดินต่อเนื่องประมาณครึ่งชม แถมเป็นการเดินขึ้นลงเนิน เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว ฝนดันตกหนักสลับเบาตลอดทางอีก เฉอะแฉะไปหมด ลุยเข้าไปจนได้ถ่ายน้ำตกระยะใกล้ ค่อยหายเหนื่อยหน่อย :)
Picture
Svartifoss waterfall
Picture
Svartifoss waterfall

Iceland วันที่ 5 (Aug 4)
ระยะทาง :  357 กม

​สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

• Jökulsárlón Glacier
• Höfn
• Vesturhorn Mountain
• Laekjavik Coast
​• Egilsstaðir town
​• ​Seyðisfirði
Picture
ตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงซีกขวาสุดของเกาะ Iceland แล้ว จุดหมายแรกของเช้าวันนี้คือ Jökulsárlón Glacier Lagoon - ทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ ปัจจุบันกินเนื้อที่กว้างถึง 18 กิโลเมตร และมีความลึกของน้ำถึง 200 เมตร ระหว่างทางที่ขับรถเข้าใกล้ Glacier มาเรื่อยๆนั้น แม้จะอยู่ในรถ แต่เรารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ค่อยๆเย็นขึ้นได้อย่างชัดเจน
Picture
Glacier จากระยะไกล
Picture
Jökulsárlón Glacier
Picture
Jökulsárlón Glacier
Picture
ไม่นานนัก เราก็มาถึง Jökulsárlón Glacier Lagoon จุดเด่นของการมาเที่ยวที่นี่ ก็เพื่อมาดูน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ค่อยๆละลายลงมาตามทางจากภูเขาใหญ่ด้านบนสู่ธารน้ำแข็งด้านล่าง ถ้าไม่รีบนัก การเหม่อนั่งดูการเคลื่อนตัวของน้ำแข็งพร้อมกับเห็นนก Skuas (Black Seabird) และนกนางนวลบินโฉบไปมา มันเป็นอะไรที่เพลินเลยทีเดียวนะ
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
จุดหมายถัดไปของเราคือกินข้าวกลางวันที่เมือง ​Höfn แทนปักหมุดร้านอาหารไว้ที่ร้าน Pakkhús Restaurant เพราะสืบมาแล้วว่าเป็นร้านแนะนำที่ต้องไป ไปถึงเราก็ไม่รอช้าสั่งอาหารทันทีที่ได้โต๊ะ เพราะคนเยอะเหลือเกิน อาหารแนะนำที่นี่ ก็จะมี Langoustine (ลังกู้สตีน) - กุ้งเล็กเนื้อแน่นเหมือน Lobster หรือที่เรียกว่า Scampi นั่นเอง อีกจานที่แนะนำคือ Fish & Chips อ่ะ! ลองดูให้หมด อร่อยไม่ผิดหวังค่ะ
Picture
Langoustine baked in cream
Picture
Fish & Chips
Picture
Langoustine bisque
นอกจากการเดินเล่นชิลๆที่ท่าเรือในเมือง ​Höfn แล้ว จุดท่องเที่ยวสำคัญอีกจุดของเมืองนี้ก็คือ Vesturhorn Mountain - หุบเขาค้างคาว ที่มาของชื่อนี้ก็เพราะหุบเขานี้มีลักษณะเป็นยอดเขาแหลมสามยอดเรียงกันดูไกลๆแล้วคล้ายรูปร่างของค้างคาวค่ะ (หนังเรื่อง Batman Begins ก็ไม่พลาดที่จะใช้ที่นี่เป็นฉากค่ะ) หุบเขานี้จะมีด้านนึงติดกับทะเล ถ้าอยากถ่ายรูปที่มุมยอดฮิต จะต้องจ่ายค่าผ่านทางประมาณ 800 ISK เพื่อทะลุผ่านพื้นที่ส่วนบุคคลเข้าไป ตรงทางผ่านจะมีร้านคาเฟ่เล็กๆชื่อร้าน Viking Cafe แวะดื่มกาแฟร้อนช่วงบ่ายช่วยให้หายง่วงได้เยอะเลยค่ะ
Picture
Vesturhorn Mountain
เส้นทางจาก Vesturhorn Mountain มุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักคืนนี้ที่เมือง Seyðisfirði (โดยขับผ่านเมือง Egilsstaðir) บอกเลยว่าเป็นเส้นทางที่โหดเหนือความคาดหมาย เพราะนอกจากจะเป็นการขับเลี้ยวลัดเลาะไปตามชายหาดและภูเขาที่เคี้ยวคดไม่พอ ยังเป็นการขับขึ้นลงเขาที่มีความชันสูงและมีหมอกปกคลุมหนาทึบมาก แทนอ่านคำเตือนคร่าวๆเกี่ยวกับเส้นทางนี้มาล่วงหน้าแล้วว่าเราสามารถเลือกที่จะขับลัดเลาะชายหาดไปตามเบอร์ 1 เรื่อยๆ (ซึ่งเป็นทางที่แนะนำแต่ไกลกว่า) หรือจะขับตัดขึ้นเขามาผ่านถนนเบอร์ 939 ก็ได้ แต่ให้เช็คก่อนว่าถนนนี้ปิดหรือไม่ เนื่องจากเป็นทางชัน ช่วงหน้าหนาวจึงไม่เปิดให้ใช้งาน พอมาถึงทางแยก เห็นว่าถนนไม่ปิด ประกอบกับดูเวลาแล้วกลัวจะมืดเร็ว ก็เลยตัดสินใจใช้ทางยาก พอขับปีนขึ้นเขามาได้ไม่ถึง 10 นาที โอ้ว! ไม่น่าเลย รถค่อยๆจมเข้าไปในหมอก นี่ไม่ใช่หมอกเล่นๆค่ะ มันเป็นหมอกที่หนามากๆ ชนิดที่เห็นเสาของถนนได้แค่ระยะไม่กี่เมตร ทางที่คดเคี้ยวหักศอกไปมา และดินลูกรังกับบรรยากาศที่ค่อยๆมืดลง พูดเลย มันเหมือนอยู่ในหนังผีที่โดนหมอกกินไปประมาณเกือบ 20 นาที T_T พอทางค่อยๆลาด พาเราค่อยๆลงจากเขา มองเห็นไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น โอเคใจชื้น พวกเราปลอดภัยแย้วว
Picture
ถนนเบอร์ 939 ก่อนใช้ควรตรวจสอบสภาพก่อน
Picture
ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ ต้มมาม่าโดยด่วน

Iceland วันที่ 6 (Aug 5)
ระยะทาง :  388 กม

​สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

• ​Dettifoss
• ​Selfoss
• Hverir
• Mývatn Lake
• Goðafoss
• Akureyri
Picture
วันนี้จะเป็นวันที่เราจะใช้เวลาเดินทางอยู่บนรถนานสุดถึง 6 ชมครึ่ง เราไม่รอช้า ออกจากโรงแรมตั้งแต่ยังไม่ 8 โมง มุ่งหน้าไปยังจุดแรกของวัน Dettifoss Falls น้ำตกที่ยิ่งใหญ่และมีพลังที่สุดของทวีปยุโรป เห็นแล้วอยากจะย้อนกลับไปแก้คำว่า "อภิมหานํ้าตก" ของ Gullfoss ที่เคยกล่าวไว้ในวันที่ 2 แต่ไม่เป็นไร ไม่อยากเสียสัจจะ เพิ่มพลังให้ที่นี่เป็น อภิอภิมหาน้ำตกละกัน 555 ถ้าจะเปรียบเทียบหน่วยแบบเดิม ปริมาณเฉลี่ยน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตก Dettifoss นี้ (6,816 cu ft/s) สามารถเติมตู้คอนเทนเนอร์ให้เต็มได้ 6 ตู้ ภายใน 1 วินาที!!  เห็นจากรูป อาจจะไม่ได้รู้สึกอลังเท่าที่โม้ ลองดูคลิปสิ (ที่เห็นเม็ดเล็กๆเท่ามดนั่นคือคนเดินนะแจ๊ะ)
Picture
Dettifoss Falls
Picture
Dettifoss Falls
จากที่จอดรถของจุดชมน้ำตก Dettifoss เพียงเดินมาอีกแค่ 15 นาที (1กม) ก็จะเห็นน้ำตก Selfoss (เซลฟอสส์) - น้ำตกสูง 11 เมตร ที่เกิดจากการละลายของน้ำจากธารน้ำแข็ง Glacier Vatnajökull ลงสู่แม่น้ำ Jökulsá á Fjöllum แม้จะเป็นน้ำตกที่เล็กกว่า Dettifoss แต่การเดินเลาะเลียบกับหุบเหวเพื่อมาดูน้ำตก Selfoss นี้ก็สนุกใช้ได้ ดูความลึกของเหวในคลิปดูจิ
Stop ถัดมากของเราคือ Hverir - ทุ่งโคลนร้อน จะเป็นทุ่งกว้างสีเหลืองส้มซึ่งเป็นสีของธาตุซัลเฟอร์ หรือที่เรียกว่ากำมะถันนั่นเอง เดินเข้ามาจุดนี้กลิ่นกำมะถันจะแรงมาก ระหว่างทางเดินจะมีการกั้นแนวบ่อโคลนร้อนเล็กๆอยู่หลายบ่อ พอเข้าไปดูใกล้ๆก็จะเห็นโคลนร้อนสีดำๆกำลังเดือดปุดๆอยู่ค่ะ อย่าเดินเข้าไปในแนวที่กั้นห้ามเข้านะคะ อาจจะตกบ่อโคลนร้อนได้ง่ายๆเลยนะคะ
Picture
Hverir - บ่อโคลนร้อน
เราใช้เวลาดูโคลนร้อนที่ Hverir อยู่ประมาณแค่ครึ่งชม ก็มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายถัดไปคือน้ำตก Goðafoss ระหว่างทางเราขับผ่าน Lake Mývatn (มิวัทน์) - ทะเลสาบที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ของภูเขาไฟเมื่อ 2,300 ปีที่แล้ว จุดนี้เราไม่ได้แวะลง ได้แต่ถ่ายรูปจากหน้าต่างรถเอา
Picture
ทะเลสาบ Mývatn
และเราก็มาถึง Goðafoss (โกดาฟอส) - น้ำตกแห่งเทพเจ้า จุดเริ่มของน้ำตกนี้เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ Skjálfandafljót ที่ไหลลงตามแนวหน้าผาที่มีความสูง 12 เมตร และกว้าง 30 เมตร จนทำให้เกิดเป็นม่านน้ำตกขนาดใหญ่อย่างที่เห็น พระเจ้า!! มันสวยสมชื่อที่ได้รับการตั้งให้เป็น "Waterfall of Gods" หรือ "น้ำตกแห่งเทพเจ้า" ตามภาษาท้องถิ่นเลยจริงๆ
Picture
น้ำตก Goðafoss
ถัดจากน้ำตก Goðafoss เราใช้เวลาขับรถอีกประมาณ 45 นาที ก็มาถึงเมือง Akureyri เมืองที่เราจะเข้าพักค้างคืนนี้ พอเริ่มขับเข้าเมืองก็เริ่มมีความตื่นเต้น สงสัยจะอยู่กับธรรมชาติมาหลายคืน พอเจอผู้คน ร้านอาหาร ร้าน shopping เลยดูตื่นตาเป็นพิเศษ โรงแรมที่เราพักคืนนี้อยู่ใจกลางเมืองเลย เราเข้า Check-in ประมาณ 4 โมงเย็น ยังพอมีเหลือเวลาให้เดินเล่น Shopping ตามถนนได้อีกนิด คืนนี้ในเมืองมีงาน Music Festival อะไรซักอย่าง มีเวที Concert มีสวนสนุกเล็กๆมาตั้ง มีซุ้มอาหารและขนมเต็มไปหมด วัยรุ่นและครอบครัวเล็กใหญ่ออกมาเดินเที่ยวดูคึกคักเป็นพิเศษ เป็นเมืองที่น่ารักเลยทีเดียว เนื่องจากแบตกล้องหมดเกลี้ยง รูปในเมืองขอดึงมาจาก iPhone นะคะ
Picture
พระเจ้าประทานอาหารสวรรค์

Iceland วันที่ 7 (Aug 6)
ระยะทาง :  273 กม

​สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
• Akureyri
• Hvitserkur
Picture
เนื่องจากวันนี้เรามีเพียงแค่ Stop เดียวที่ตั้งใจจะแวะ ดูเวลาแล้ววันนี้ขับรถแค่ 3 ชม ครึ่ง แบบตรงยาวไปเลย เราจึงชิลกันมาก ตื่นสาย ออกจากโรงแรม 10.30 เดินเล่น Shopping ได้เสื้อหนาว Icewear ข้างโรงแรมมาอีกตัว พร้อมกับทานข้าวกลางวันในเมือง Akureyri และเดินทอดน่องแถวท่าเรือจนบ่ายโมงกว่าค่อยเริ่มออกตัว ระหว่างทางเราขับผ่านเมือง Blönduós แวะดื่มกาแฟที่ร้านอาหาร B&S Restaurant ติดๆกันมีโบสถ์ชื่อ Blönduóskirkja เป็นโบสถ์ดีไซน์เท่ห์ minimalist เชียว
Picture
Blönduóskirkja
Picture
Blönduóskirkja
Picture
Blönduóskirkja
หลังจากแวะถ่ายรูปแป๊บนึงก็มุ่งหน้าต่อ ปลายทางของเราวันนี้คือ Hvitserkur - หินบะซอลท์สูง 15 เมตร มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ที่กำลังกินน้ำอยู่บนชายฝั่งนี้ ตามตำนานเก่าแก่เล่าว่าหินก้อนนี้คือยักษ์โทรลที่ออกมาหาอาหารตอนกลางคืน แต่เนื่องจากไม่สามารถทนต่อแสงแดดยามเช้าได้ เลยแข็งกลายเป็นหินค้างท่ากำลังเดินอยู่อย่างที่เห็น หากมาช่วงกลางวันขณะที่น้ำขึ้น หินจะลอยอยู่กลางน้ำเหมือนไดโนเสาร์กำลังกินน้ำอยู่จริงๆ แต่เนื่องจากเรามาถึงช่วงเย็นที่น้ำลดแล้ว จึงเห็นเป็นหินก้อนใหญ่เกยตื้นพร้อมผู้คนเดินเล่นอยู่รอบๆมันแบบนี้
Picture
Picture

Iceland วันที่ 8 (Aug 7)
ระยะทาง :  292 กม

​สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

• Kirkjufell
• Snæfellsnes 
• Stykkishólmur
Picture
เส้นทางวันนี้จริงๆแล้วไม่ได้ไกลนัก แต่เนื่องจากเป็นการขับรถอ้อมคาบสมุทร เลยใช้เวลาถึง 4 ชมครึ่ง ซึ่งเราแบ่งการขับรถเป็นครึ่งเช้าประมาณ 2 ชมครึ่ง และช่วงบ่ายอีก 2 ชม. การขับรถอ้อมคาบสมุทร Snaefellsnes (สแนฟเฟิ่ลเนสส์) นี้ เราจะขับอ้อมภูเขาไฟ Snæfellsjökull ที่อยู่ตรงกลางคาบสมุทร ภูเขาไฟสูง 1,446 เมตรนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ Iceland ก็ว่าได้ ยอดของภูเขานี้จะเป็น glacier สีขาวเห็นได้จากระยะไกล ระหว่างทางที่เราขับอ้อมด้านทิศใต้ของเขา เราได้แวะที่ Búðakirkja - โบสถ์เล็กๆ ยอดฮิตที่นักล่าแสงเหนือมักจะนำมาเป็น foreground ถ่ายกับออโรร่าที่เคลื่อนไหวไปมาหลังโบสถ์ 
Picture
โบสถ์ Búðakirkja
แล้วเราก็ขับอ้อมเขาขึ้นมาถึงด้านเหนือ จนพบกับน้ำตก Kirkjufellsfoss - น้ำตกยอดฮิตประจำชาติของ Iceland หลายคนเห็นน้ำตกแล้วอาจจะผิดหวัง เนี่ยนะยอดฮิตของแกร คือน้ำตกมันไม่ได้ดูอลังแต่อย่างใด จุ๋มจิ๋มมากถ้าเทียบกับน้ำตกที่ผ่านๆมา แต่ๆ.. (สะกิดแขนพ่อ) อย่าเอาแต่จะถ่ายน้ำตกสิคะคุณ หันหลังไปดูซะก่อนเสะคะ ภูเขา Kirkjufell Mountain ทรงสามเหลี่ยมตั้งตระหง่านอยู่ อ่ออออ.. แค่เห็นก็เก็ทละ มันต้องใช้แม่นี่เป็นฉาก Background ของน้ำตกนั่นเอง มันเป็นจุดยอดฮิตจริงๆ ถ้าใครไม่ได้รูปตรงนี้กลับไปเป็นพิธี มันเหมือนไม่เคยมาไอซ์แลนด์ อ่ะไม่เชื่อดูรูปเอา งานโปสการ์ดต้องมา
Picture
น้ำตก Kirkjufellsfoss
Picture
น้ำตก Kirkjufellsfoss
Picture
ภูเขา Kirkjufell
Picture
น้ำตก + ภูเขา ได้ภาพ Postcard 1 ใบ
หลังจากเราขับรถอ้อมคาบสมุทร Snaefellsnes ครบวง ก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี เราขับรถย้อนกลับทางเดิมเพื่อย้อนกลับไปยังเมือง Stykkishólmur ซึ่งเป็นเมืองท่าเล็กๆน่ารัก เราแวะถ่ายรูปที่ Stykkishólmskirkja -โบสถ์เล็กๆรูปทรงเหมือน UFO ดูแปลกตา ก่อนที่จะตรงเข้าร้านอาหาร สำหรับมื้อนี้เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะทานหอยแมลงภู่ (Mussel) ที่ร้าน ​Narfeyrarstofa ก่อนมาปักหมุดและโทรจองไว้เรียบร้อย ^_^ ปิดวันด้วยรูปอาหารค่ำนะคะ
Picture
Stykkishólmskirkja
Picture
Stykkishólmskirkja
Picture
Mussel @ Narfeyrarstofa

Iceland วันที่ 9
​(Aug 10)

ระยะทาง :  284 กม

​สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

• Hraunfossar
• Reykjavik City Centre
Picture
เหลืออีกแค่วันเดียวก็จะจบทริปแล้ว วันนี้เราจะมุ่งหน้าเข้าสู่ Reykjavik ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Iceland และจะใช้เวลาอยู่ในเมืองแค่เพียงวันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านแล้ว T_T เราออกจากโรงแรมแต่เช้าตรู่ ขับรถตรงดิ่งไปทางทิศใต้ จริงๆแล้วระยะทางจาก Grundarfjordur ที่เราพักเมื่อคืนนี้ ไปยังเมือง Reykjavik ใช้เวลาแค่ 2 ชมนิดๆเอง แต่ระหว่างทางเรามีขับแยกออกไปยังอีกถนนเพื่อแวะเข้าไปดูน้ำตกสุดท้ายของทริป ใช้เวลาขับรถเพิ่มมาอีกชม.ครึ่ง เมื่อมาถึงน้ำตก Hraunfossar กลับรู้สึกไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่ ถ้าเพื่อนๆขี้เกียจขับรถ จะพลาดจุดนี้ไป ก็ไม่ค่อยน่าเสียดายนะคะ
Picture
Hraunfossar
Picture
Hraunfossar
บ่ายโมงนิดๆเราก็ขับรถมาถึงเมือง Reykjavik ​เป็นที่เรียบร้อย ที่พักคืนนี้ของเราเป็นอพาร์ทเม้นท์ชื่อว่า Luna Laugavegur ตั้งอยู่บนถนนหลักย่าน Shopping เลย (Laugavegur Street) หลังจากเอากระเป๋าเข้า Check-in เรียบร้อย เราก็ออกมาเดินเล่นบนถนนนี้ เสียดายฝนตกหนักทั้งวัน เอากล้องเก็บไว้ที่โรงแรมซะเลย รูปบรรยากาศในเมือง Reykjavik ที่น่ารักมากนี้ก็จะไม่มีเลยนะคะ หลังจากเราเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ 2-3 ชม. เราก็เดินตรงขึ้นไปตามถนนเส้นเดิมนี้ มุ่งหน้าไปทางท่าเรือ ก็จะเข้าสู่ย่านที่เต็มไปด้วยร้านอาหารค่ะ เนื่องจากเราไม่ได้ทำการจองไว้ ร้านที่เราตั้งใจอยากทานคือ Fish Company ปรากฎว่าร้านเต็ม ไม่รับลูกค้าที่ไม่ได้จอง ก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นร้านตรงข้าม ชื่อร้าน Geysir Bistro แทน เกือบจะเต็มแล้วโชคดียังทัน คนเยอะจริงๆ จบวันด้วยอาหารอร่อย Happy ฝันดีค่ะ
Picture
Langoustine
Picture
Picture
Garlic Bread ดีมาก
Picture
Picture
คืนนี้ Apartment น่ารัก
Picture

Iceland วันที่ 10
​(Aug 11)

ระยะทาง :  49.2 กม
Picture
ตื่นเช้าแบบไม่อยากตื่น ขับรถมา Keflavik Airport โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที หลังจากคืนรถเรียบร้อยไม่มีปัญหา ก็ Check-in กระเป๋า ขึ้นเครื่องกลับบ้านค่ะ ... จบละค่ะ ไอซ์แลนด์ของแทน

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงวันสุดท้าย และขอบคุณที่สุดคือป๋ามี้ที่ร่วมทริปไปด้วยกัน และยอมให้แทนจัดการแผนการเที่ยวได้ทุกอย่างตามต้องการแบบไปไหนไปกันไม่มีบ่น ^_^

สำหรับเพื่อนๆที่มีแพลนว่าจะไป Iceland ถัดลงไปนี้จะเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศ และข้อมูลการเตรียมตัวก่อนเดินทางนะคะ
​
​
ลักษณะภูมิประเทศ
สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ เป็นประเทศนอร์ดิกในยุโรปเหนือ มีภูมิประเทศเป็นเกาะ และจัดเป็นเกาะที่
ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรปรองจาก Great Britain โดยมีขนาดกว่า 103,000 ตารางกิโลเมตร และมีภูเขาไฟประมาณ 200 ลูกที่มีขนาดแตกต่างกัน เกาะIcelandตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร โดยมีเมืองหลวงคือเรคยาวิก (Reykjavik) สนามบินหลักของประเทศชื่อว่าสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก (Keflavík International Airport) ใกล้กับเมืองเคฟลาวิก Iceland มีธารน้ำแข็งยึดครองพื้นที่กว่า 11.900 กิโลเมตร ส่วนใหญ่ของ Iceland เป็นที่สูง มากกว่าหนึ่งในสามของประเทศ และสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 600 เมตร ไม่เพียงแต่แสงเหนือที่เป็นจุดเด่นของประเทศเท่านั้น ไอซ์แลนด์ ยังมีความงามที่เกิดจากปรากฎการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอีกมากมาย ที่ทำให้ประเทศนี้สวยราวกับเป็นดินแดนในฝัน สถานที่เหล่านี้ได้แก่ Geyser (น้ำพุร้อน), Lagoon, (ทะเลสาบน้ำตื้น), Volcanic national park, Waterfall (น้ำตก), Canyon (เทือกเขา), Cliff (หน้าผา), Glacier (ธารน้ำแข็ง) ไอซ์แลนด์มีประชากรกว่า 4.2 ล้านคน นับว่ามีประชากรเบาบางถ้าเทียบกับขนาดประเทศ แต่จัดว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาสูงที่สุดในโลกก็ว่าได้

สภาพภูมิอากาศ
Picture
Iceland มีภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทรกึ่งอาร์กติก อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณนี้เลยค่ะ ​ถ้าถามว่าเที่ยวไอซ์แลนด์ควรไปช่วงไหนของปีดี ตอบได้เลยค่ะไปได้ทั้งปี ซึ่งบรรยากาศที่ได้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ขึ้นอยู่กับว่าชอบแบบไหน ถ้าอยากไปแบบที่เห็นหิมะขาวปกคลุมทั่วประเทศ หรืออยากไปดูแสงเหนือชัดๆ ก็ให้เลือกไปช่วงหน้าหนาว (ธค-มีค) แม้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวหรือน้ำตกหลายแห่งอาจจะมีปิดไปบ้างเนื่องจากหิมะปกคลุมเยอะ ถนนบางเส้นไม่สามารถให้นักท่องเที่ยวขับเข้าไปถึงได้ แต่ก็จะแลกกันกับ Ice cave, Ski Resort และ glacier ต่างๆหลายจุดที่เปิดให้บริการได้เฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น แต่ถ้าหากอยากเห็นสีสันของใบไม้ต้นหญ้าสีเขียว และสัมผัสความอบอุ่นในช่วงกลางวัน และอยากเห็นนกพัฟฟินก็แนะนำให้มาช่วงหน้าร้อนเลยค่ะ (มิย-กย) ช่วง 4 เดือนนี้ถือเป็นช่วง Peak Season ของ Iceland เลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวจะล้นหลามและที่พักจะค่อนข้างแพงมาก แต่ข้อได้เปรียบของการไปช่วงหน้าร้อนคือมีช่วงเวลากลางวันที่เยอะกว่า ทำให้สามารถเที่ยวได้เยอะขึ้นในแต่ละวัน เนื่องจากพระอาทิตย์ตกหลัง 3 ทุ่มแหน่ะ ในขณะที่หน้าหนาวมีช่วงเวลาที่เห็นแสงแดดเพียงแค่ 5 ชม. เท่านั้น (เช็ค Daylight hours ได้ ที่นี่ นะคะ) ประเทศไอซ์แลนด์มีลมแรงมากนะคะ หิมะและฝนไม่ได้ตกจากข้างบนแต่เป็นลมที่พัดมาตก บางทีเวลาที่ฝนตกก็เลยจะรู้สึกเหมือนฝนปลิวลอยขึ้นมาจากพื้น และลมที่พัดมาแรงๆนั้นยังเพิ่มความรู้สึกเย็นอีกด้วย บางทีอุณหภูมิ 5-10 องศาฯ แต่อาจรู้สึกหนาวได้เหมือนศูนย์องศาเลยทีเดียว สภาพภูมิอากาศไอซ์แลนด์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่แปลกเลยที่เพื่อนๆจะสามารถเจอฝน พายุลมแรง แล้วจู่ๆก็แดดออกได้ภายในเช้าวันเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมากๆ

โซนเวลาของไอซ์แลนด์
เวลาที่ประเทศไอซ์แลนด์จะช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 7 ชั่วโมงค่ะ

ค่าเงินที่ใช้ในไอซ์แลนด์
ใช้สกุลเงินโครนไอซ์แลนด์ (Icelandic Krona - ISK) ซึ่ง 1 โครนไอซ์แลนด์ ประมาณ 0.30 บาท เช็ค Rate ปัจจุบันได้ ที่นี่ ค่ะ ส่วนใหญ่คนในประเทศจะใช้เครดิตการ์ดมากกว่าการใช้เงินสด ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าจะซื้อของราคาไม่กี่บาท เช่นขนมซักถุง แล้วจ่ายด้วยเครดิตการ์ดนะคะ หากใครมีบัตรเครดิตของธนาคารกสิกร (K Wisdom) แนะนำให้เตรียมไป เพราะเป็นบัตรเดียวของไทยตอนนี้ที่มาพร้อม PIN 4 หลัก สำหรับใช้ในต่างประเทศ จะจำเป็นเวลาเติมน้ำมัน หรือใช้บริการ Self-service ที่ต้องกด 4-digits pin ด้วยตัวเองค่ะ อย่าลืมติดต่อธนาคารเพื่อรับ Pin ก่อนเดินทางนะคะ


ระบบไฟฟ้าในประเทศไอซ์แลนด์
​
การใช้กระแสไฟฟ้าในประเทศไอซ์แลนด์คือ 230 โวลต์เหมือนบ้านเรา โดยที่นี่จะใช้ปลั๊กไฟ TYPE F แบบสองขากลมเช่นเดียวกับที่อื่นๆในยุโรป ถ้าอุปกรณ์เสียบไฟเป็นปลั๊กแบบแบนอย่าลืมเตรียม adapter เปลี่ยนหัวไปด้วยนะคะ ปล. เบ้าปลั๊กลักษณะแบบนี้เวลาดึงปลั๊กออกอย่าลืมเช็คว่าหัวปลั๊กยังติดอยู่ในเบ้าที่กำแพงหรือเปล่านะคะ แทนลืมไป 1 หัว คุณพ่อก็ลืมไป 1 หัว คุณแม่ปวดหัวค่ะ (-_-")
Picture
การใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต
ประเทศไอซ์แลนด์ถือได้ว่ามีเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่และครอบคลุมเกือบทั้งเกาะ มีตั้งแต่ 2G 3G และ 4G กระจายไปทั่วประเทศ มั่นใจได้แน่นอนว่าจะไม่มีขาดการติดต่อจากโลกภายนอก แทนแนะนำให้ซื้อเป็น Pre-paid sim สำหรับนักท่องเที่ยว มีขายที่สนามบิน Keflavík ค่ะ บริษัทเจ้าใหญ่ๆมีอยู่ 3 บริษัท คือ Siminn, Vodafone, Nova ถ้าจะซื้อซิมเพื่อใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเดียวก็ซื้อแบบ 5 gb ราคา 2,190kr (ประมาณ 630 บ.)ก็พออยู่ แทนไม่ได้ซื้อนะคะ แต่เท่าที่อ่านมาเห็นว่าของ Siminn เป็นที่นิยมสุด ลองเปรียบเทียบราคาได้ตาม link นี้ค่ะ siminn / vodafone / nova
​

เนื่องจากครั้งนี้แทนไปหลายประเทศ นอกจาก Iceland แล้วยังมีแวะไป Copenhagen, Denmark และมี Sweden ด้วย แทนเลยเลือกซื้อ Traveller Sim จากไทยที่เคยใช้ประจำอยู่ของ instasim.com ค่ะ ใช้มาหลายครั้งแล้ว ไม่เคยมีปัญหาเลยใช้ต่อมาเรื่อยๆ ครอบคลุมหลายประเทศ ไม่ต้องคอยเปลี่ยนซิมให้วุ่นวาย ที่แทนใช้คือชื่อแพ็คเกจ "ซิมเดียวเที่ยวสบาย" แบบ 12GB ราคา 1,330 บ. (เค้าเพิ่งขึ้นราคา จำได้ว่าเมื่อก่อนให้ตั้ง 15 GB) แต่ก็โอเคเพราะใช้ทีไรก็ไม่เคยหมดอยู่ละ ขนาดดูเส้นทางแผนที่ทั้งวัน วันสุดท้ายยังเหลือเฟือส่งต่อให้เพื่อนอีกทริปนึงได้เลยค่ะ (ใช้ได้ 30 วันค่ะ)
​
การเดินทางจากประเทศไทยไปไอซ์แลนด์
การเดินทางจากกรุงเทพฯไปไอซ์แลนด์ ไม่มีสายการบินตรง ต้องต่อเครื่องเพื่อไปลงที่เมืองเรคยาวิก (เมืองหลวงของไอซ์แลนด์) ทางเลือกสายการบินจาก กทม ไป เครยาวิก มีดังนี้ค่ะ
- Aeroflot (เปลี่ยนเครื่องที่ Moscow) ใครอยากเที่ยวรัสเซียและเวลา Transit นานพอ สามารถออกจากสนามบินไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ
- Emirates (เปลี่ยนเครื่องที่ Dubai)
- Finnair (เปลี่ยนเครื่องที่ Helsinki, Finland)
- Norwegian Air (สายการบิน Low cost ของนอร์เวย์)
- SAS และ Thai Airways (เปลี่ยนเครื่องที่ Copenhagen, Denmark)

สิ่งที่ควรเตรียมก่อนการเดินทางไปประเทศไอซ์แลนด์
แม้ไอซ์แลนด์ช่วงฤดูร้อนจะไม่ได้หนาวมากแต่ก็ถือว่าเป็นอากาศที่เย็นในระดับหนึ่งทีเดียว และเนื่องจากอากาศมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมากในแต่ละช่วงของวัน เสื้อผ้าที่เราเตรียมไปก็ควรจะเผื่อไว้สำหรับการปรับใช้ตามสภาพอากาศหน่อยนะคะ นอกจากเสื้อหนาวที่ควรเตรียมไปเผื่อทั้งหนาและบางแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จำเป็นด้วยค่ะ
หมวก + ผ้าพันคอ : จะเป็น Cap หรือ Beanie ธรรมดาไม่ถึงกับต้องไหมพรมก็ได้ ใส่ไว้กันลม แต่อันนี้ก็แล้วแต่ความอยากแฟชั่นนะคะ ผ้าพันคอก็ช่วยเพิ่มความอุ่นได้ดีตอนกลางคืนค่ะ
ถุงมือ + ถุงเท้า : ถุงมือแบบกันลมได้ใช้แน่ๆค่ะ เวลาไปยืนถ่ายรูปตามโขดหิน เทือกเขา ริมทะเล โอยย.. มือเย็นมากก จำเป็นกว่าถุงเท้าอีกค่ะ ส่วนถุงเท้าแทนใช้แบบหนาเล่นกีฬาทั่วไป ไม่ได้ถึงกับ Wool
รองเท้า สำคัญมาก เลือกคู่ที่ปิดมิดชิด ถ้าได้แบบกันน้ำได้ยิ่งดี อย่าเอาคู่ที่มีรูๆหรืออากาศถ่ายเทได้ดีไป เวลายืนตากลมหรือเจอฝนตก น้ำจะซึมเข้าไปเปียกถุงเท้า จะหนาวเท้ามากค่ะ พยายามเลือกแบบที่มีดอกยางดีๆ เวลาเดินลงตามเนินที่มีกรวดหินเล็กๆ ถ้าไม่มีดอกยางลึกๆ แอบลื่นทีเดียวค่ะ ถ้ามีงบก็ลองดูของ North Face หรือ Columbia แต่ถ้าไม่อยากลงทุน แนะนำให้ไปดูแผนกรองเท้าเดินป่าที่ ดีแคทลอน ค่ะ ถูกมาก คู่ละพันกว่าบาท ใช้มาก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ
Picture
เสื้อกันฝน สำคัญแบบขาดไม่ได้เลย ​พกติดตัวพร้อมใช้ไว้ตลอดเวลาไม่ต้องใส่ไว้ในกระเป๋าใหญ่เลยค่ะ เลือกแบบที่คลุมทั้งแขนทั้งขายาวไปเลยนะคะ ถ้ายาวไม่พอกางเกงมีเปียกแน่ๆ ถ้าจะให้แนะนำ ก็จะเป็นของ IKEA รุ่น Knalla ค่ะ พกง่ายและใช้ดี๊ดี หรือจะเลือกแบบใช้แล้วทิ้งที่ขายตามเซเว่นก็สบายดีค่ะ เลือกแบบหนาหน่อยนะคะ ที่เป็นพลาสติกบางๆขาดง่ายไปหน่อยค่ะ
Picture
เสื้อฝน IKEA
กล้องถ่ายรูป ขาตั้ง และอุปกรณ์
อันนี้แล้วแต่คนนะคะ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการได้ภาพสวยงามก็ควรเตรียมไปให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเอาไปไหว 555 ยังไงก็มีรถ ไม่ได้ต้องถือตลอดเวลาอยู่แล้ว แบตสำรองและ Charger ที่สำหรับใช้ภายในรถเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยค่ะ

Comments

    Archives

    September 2017

    Categories

    All

    RSS Feed

    สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือตัดข้อความส่วนหนึ่งส่วนใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากเพื่อนๆคิดว่าเนื้อหานี้มีประโยชน์และอยากแชร๋ต่อ สามารถส่งต่อ Link URL นี้ได้ค่ะ

  • Home
  • My Adventures
    • NAMIBIA
    • KENYA
    • GERMANY
    • ICELAND
    • NEW ZEALAND
    • BRAZIL
    • MYANMAR
  • IMAGES
  • VDO
  • My Story