นามิเบียมีอะไรบ้าง? อธิบายเร็วๆด้วยภาพจะง่ายกว่านั่งอ่าน ทุกคนดู Teaser ตรงนี้ก่อนละกัน 🤗 (กดสี่เหลี่ยมมุมขวาล่าง เพื่อดูให้เต็มจอมือถือ ↖️
ความไม่น่าเบื่อของการเที่ยวนามิเบียคือความหลากหลายของสถานที่เที่ยว เหมาะสำหรับคนที่อยากลองเที่ยวซาฟารี แต่ไม่มั่นใจว่า เอ… ฉันจะไหวมั๊ยกับการอยู่กลางแดดดูสัตว์ป่าทั้งวันทั้งคืนเป็นอาทิตย์ คือจะบอกว่า มันไม่ได้มีแต่ซาฟารีนะจ๊ะคุณ ที่เที่ยวของนามิเบียมันมีความหลากหลายมากตลอดทั้งทริป แต่ละวันไม่ซ้ำ วันนึงตามล่าส่องสัตว์ใหญ่ในซาฟารี อีกวันนึงไปเดินกลางทะเลทรายดูสัตว์เลื้อยคลานเล็กๆจิ๋วๆ อีกวันเดินขึ้นเขาหินไปดูวิวพระอาทิตย์ขึ้น หรืออีกวันไปโผล่ริมชายหาดทะเลดูแมวน้ำ ฟลามิงโก คือมันมีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งให้ดูแบบหลากหลายจริงๆอ่ะ ดูสิๆ 🌈💙🌄 เวลาพูดถึงนามิเบีย หลายคนอาจจะคิดว่า เออ..มันอยู่ในทวีปแอฟริกา น่าจะต้องเป็นประเทศที่เที่ยวลำบาก แอบน่ากลัว ที่พักไม่สะอาดไม่เจริญแน่ๆ ตอนแรกส่วนตัวก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่เคยไปเที่ยวซาฟารีประเทศเคนย่า ซึ่งก็แอฟริกาเหมือนกัน เอาจริงก็มีความลำบากอยู่ไม่น้อย เลยคิดว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน เตรียมใจไประดับนึง ปรากฏว่าไปถึงคือตกใจ surprise บ้านเมืองคือเจริญมากก อยากขอเปลี่ยนความคิดทุกคนตรงนี้ คือมันเจริญจริงๆ ถนนคืออย่างเรียบ บ้านเมืองดูดี สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะในเมืองหลวง คือเอาจริงไม่แพ้ประเทศในยุโรปเลย โรงแรมแต่ละที่เทียบเท่า 4-5 ดาวเลยแหล่ะ แล้วก็คือเพิ่งมารู้ตอนไปถึงว่า อ๋ออ.. เพราะเค้าเคยตกเป็นอาณานิคมของ Germany ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อิทธิพลของชาวเยอรมันที่เข้ามาครอบครองพื้นที่นามิเบียช่วงก่อนสงคราม ทำให้ประเทศนามิเบียมีความเจริญแตกต่างจากประเทศอื่นๆในแอฟริกามาก ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ภาษา วัฒนธรรม และการกินอยู่ เราก็จะยังเห็นมันชัดเจนอยู่ อย่างชื่อถนนที่เห็นในเมืองหลักๆ ก็ยังมีใช้ภาษาเยอรมันให้เห็นอยู่หลายสาย นามิเบียไปตอนไหนดี นามิเบียมีแค่ 2 ฤดูนะคะ คือช่วง Dry Season (high season) เริ่มเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม และช่วง Wet Season (Low Season) เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เมษายน สรุปช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเที่ยวนามิเบียคือ กค-สคค่ะ ช่วงที่เราเดินทางครั้งนี้ คือวันที่ 7-22 สิงหาคม 2023 ค่ะ อุณหภูมิตอนกลางวันอยู่ประมาณ 22-29 องศาเซลเซียส กลางคืนอาจจะลงไปถึง 2-5 องศา ระยะเวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยว แนะนำที่ประมาณ 10-14 วันค่ะ เพราะแต่ละที่อยู่ไกลกันต้องนั่งรถหลายชั่วโมง ถ้าไปจำนวนวันน้อยกว่านี้จะกลายเป็นเวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในรถหรือทัวร์ชะโงกแทน ฉีดยาจำเป็นหรือไม่ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เหลืองไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ข้อบังคับหรือต้องมีการตรวจเอกสารใดๆ เพราะนามิเบียไม่ใช่เขตเสี่ยงของโรคพวกนี้ แต่ถ้าอยากฉีดไว้ป้องกันทำแล้วสบายใจก็ไปฉีดได้ที่สภากาชาตินะจ๊ะ ขอวีซ่า วีซ่าเป็นแบบ on arrival สะดวกเลยค่ะ ไปถึงไปขอที่ airport ของเมือง Windhoek ได้เลย เตรียมเอกสารยังไงลองหาดูในเน็ตนะคะ โรงแรมที่พัก สะดวกสบายหมดห่วง ทุกที่สะอาด โรงแรมบางวันหรูหราหมาเห่า อาหารเช้าเย็นอร่อย อาหารที่นี่เป็นอาหารฝรั่ง เน้นเนื้อสัตว์ผัก และขนมปัง เหมือนยุโรปทั่วไป ทานง่ายทุกมื้อ เอารูปโรงแรมรวมๆทั้งทริปมาแปะให้ดูก่อนตรงนี้นะ จะมีสองคืนที่นอนแคมป์เต้นท์ที่ Spitzkoppe ลำบากหน่อยเพราะตอนอาบน้ำเป็นแบบ outdoor และหนาวมากกกก 🥶 เงิน - USD ใช้ไม่ได้ซักที่ในนามิเบียเลยนะคะ ให้เตรียม USD ไปค่ะ แต่ไปถึงให้ไปแลกเป็นเงินของเค้าที่ airport ค่ะ แลกเผื่อไว้เลย เหลือค่อยมาแลกคืนตอนจะกลับอีกครั้งค่ะ ระหว่างทางไม่มีให้แลกนะคะ สกุลเงินที่นี่ใช้ดอลลาร์นามิเบีย (Namibian Dollar - NAD) - อัตราแลกเปลี่ยน 1 NAD เท่ากับ 1.93 บาท (ณ วันที่เราไป) ก็ง่ายๆคูณสองทุกอย่างไป Sim Card - บริการ roaming จากไทย (ณ วันที่ไป สค 2023) ของ AIS และ TRUE ยังไม่มีนะคะ ให้ไปซื้อที่ airport ตอนไปถึงค่ะ เผื่อเวลาเลยนะคะ รอนานมากเหมือนมีร้านเดียว แถวยาวเฟื้อย จัดเสื้อผ้าประมาณไหน ถ้าไปช่วง Dry season เหมือนเรา อุณหภูมิที่ท่านผู้ชมจะเจอคือ 5-30 องศาเซลเซียส ไม่ได้เว่อ ฟังไม่ผิด!! เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และที่รู้ดีกันอยู่คุณสมบัติของทรายคือเก็บความร้อนและคลายความร้อนเร็วตามพระอาทิตย์ อุณหภูมิจะค่อนข้างเหวี่ยงมากระหว่างกลางวันกลางคืน จัดชุดยังไงหว่าเนี่ย … layers เท่านั้นค่ะ ช่วงเช้าใส่มันเข้าไป 3 ชั้น พอ 10 โมงเริ่มถอดทีละชั้น ใกล้ๆเที่ยงก็จะเหลือเสื้อยืดตัวเดียวได้เลย แต่อุณหภูมิของนามิเบียช่วงกลางวันคือเป็นอะไรที่เที่ยวสบายนะ แม้ว่ามันจะร้อนถึง 30 องศา แต่อากาศมันแห้งมาก ลมพัดมาทีนึงคือเย็นสบายไม่มีเหงื่อเหนียวเหนอะหน่ะเลย พอเย็นๆ 4-5 โมง พระอาทิตย์เริ่มตก ก็เริ่มใส่ใหม่ แนะนำให้นำแจ๊คเก็ต down และ jacket ที่กันลมไปด้วยค่ะ นี่คือนึกว่าร้อนเตรียมไปไม่พอ ไม่สบายหนัก 2-3 วันแรก เป็นอะไรที่เข็ดสุดๆ 😭🤒 ของจำเป็นเลยที่ต้องเตรียมไป
ข้าวของเตรียมเท่าที่จำเป็นไปก็พอค่ะ ไม่ต้องขนไปเยอะ เนื่องจากมีการย้ายโรงแรมทุกๆคืนสองคืน เอาของไปเยอะเกิน หนักแล้วมันเหนื่อยตอนขนขึ้นลงรถค่ะ เริ่มเดินทาง! ครั้งนี้เราไปเดินทางแบบ private group ไปกับทัวร์ของ ทริปดีดี.com ซึ่งเป็นทริปสำรวจ หมายความว่าทางบริษัทเพิ่งเปิดเส้นทางใหม่ครั้งแรก มีไกด์ไทยชื่อพี่แอม ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของพี่แอมในนามิเบียเหมือนกัน 🤭 ไปถึงเรามีไกด์ local ชือ Lucky ที่มารับและนำขบวนทุกอย่าง เป็นคนขับรถ และไกด์ที่เล่าเรื่องนามิเบียตั้งแต่เริ่มจนจบ นางเป็นผู้รู้ทุกเรื่องตั้งแต่สัตว์ป่าทุกชนิด ยันไปถึงเรื่องการเมืองการปกครองและประวัติศาสตร์ของประเทศทั้งหมด การเดินทางเริ่มจากกรุงเทพฯ ไปลงที่กรุง Addis Ababa เมืองหลวงของเอธิโอเปีย ใช้เวลาประมาณ 8 ชม. 40 นาที และต่อเครื่องอีกครั้งไปลงที่เมืองหลวง Windhoek ใช้เวลาอีกประมาณ 6 ชม.โดยสายการบิน Athiopian Airlines ครั้งนี้นั่งยาวเลยลงทุนนั่ง C class สบายๆหน่อย สถานที่เที่ยวแต่ละจุดของนามิเบียค่อนข้างไกลกัน นั่งรถวันละหลายชั่วโมง (บางวันมียาวถึง 6ชม) ทริปนี้เรียกง่ายๆว่าคือ roadtrip แหล่ะ รถที่เรานั่งตลอดทั้งทริปเป็นรถตู้ใหญ่ 10 ที่นั่งหลังคาสูงใหม่เอื่ยม มีที่ charge USB ข้างที่นั่งให้ทุกคนด้วย เราไปกัน 6 คน นั่งสบายเหลือๆเลย ประทับใจรถมาก และเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการนั่งรถ ทริปนี้จะไม่ขอไม่ลงรายละเอียดยิบทุกวันเหมือนทุกที แต่จะสรุปจุด hightlight แต่ละจุดให้ละกันนะคะ ไม่งั้นอ่านแล้วคงเบื่อ นั่งรถอีกแระ 555 Route เส้นทางรถของเราก็ตามรูปนี้เลยค่ะ วิ่งเป็นลักษณะวงกลม เริ่มจากเมืองหลวง windhouek วิ่งขึ้นเหนือก่อนแล้ววนทวนเข็มไปกลับลงใต้ แล้วก็วนกลับมาจบที่วินฮุกอีกครั้งเพื่อขึ้นเครื่องกลับไทย บางคนจะไม่ขับตามนี้แต่วนตามเข็มก็ได้นะ เราถามไกด์เค้าว่าไม่ได้ต่างอะไรกันขึ้นอยู่กับว่าอยากดูอะไรก่อน Etosha National Park หลังจากลงเครื่องและนอนที่ Windhouek ไปคืนนึง วันแรกเราก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือไป Etosha National Park เลยค่ะ เป็นอุทยานในการซาฟารีส่องสัตว์ที่ใหญ่สุดในนามิเบียครอบคลุมพื้นที่กว่า 20,000 ตารางกิโลเมตร สัตว์เยอะมาก ขับรถตามล่ากันเป็นวันๆก็ไม่ทั่วอุทยาน ประเทศนามิเบียเค้าให้ความสำคัญมากในเรื่องการบริหารจัดการสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เราจะเห็นว่าขณะที่จำนวนสัตว์ป่าของประเทศอื่นๆในแถบแอฟริกา อย่าง แทนซาเนีย เคนย่ามีปริมาณที่ค่อยๆลดลง แต่จำนวนสัตว์ป่าของนามิเบียในแต่ละปีกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะเค้าสามารถดูแลสัตว์ป่าและจัดสรรให้มันได้อยู่อย่างธรรมชาติ โดยมีกฎข้อบังคับไม่ให้มนุษย์เข้าไปเบียดเบียนความเป็นอยู่ของสัตว์เหล่านี้อย่างชัดเจน เอาค่ะ มาถึงเราก็เริ่มกิจกรรม Game Drive หรือส่องสัตว์จากการขับรถตระเวนเข้าไปในอุทยานเรื่อยๆ แบบสุ่มวิ่งไปรอบๆ ในครึ่งวันแรกที่เรามาถึง เรายังใช้รถตู้คันเดิมที่เราใช้ตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากเรามาถึงก็ช่วงบ่ายละ ก็ถือว่าเป็น Short Game Drive ชิมๆไปก่อน จะถ่ายรูปจากรถนี้ก็จะอึดอัดหน่อยเพราะเปิดกระจกไม่ได้ ส่วนวันที่สองเราเปลี่ยนเป็นรถซาฟารี 4WD หลังคาเปิด เพื่อให้ได้อรรถรสการดูสัตว์และถ่ายรูปอย่างแท้ทรู สำหรับใครที่ยังไม่เคย Game Drive แนะนำสามสิ่งที่ห้ามลืมนอกเหนือจากกล้องและมือถือ 1. ลิปมันและครีมหน้า คือระหว่างทางที่วิ่งตลอดทั้งวันเนี่ยลมจะตีหน้าตลอดเวลานะคะ บอกเลยคือมันแห้งไปหมด แห้งแบบจริงจังค่ะ 2. ผ้าปิดปาก(ปิดคอ) เพราะนอกจากลมที่ตีหน้าแล้วมันมาพร้อมฝุ่นและทรายมหาศาล 3. เสื้อหนาวหนา/เสื้อกันลม เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่จะทำไปถึงเย็น พอพระอาทิตย์ตก หน้าและตัวที่ปะทะกับลมนี้ โอยหนาวเหน็บค่ะ สำหรับสัตว์มาตรฐานที่ยังไงทุกท่านก็จะได้เจอก็จะมี ; ยีราฟ (Giraffe), ช้างแอฟริกัน (African Elephant), ม้าลาย (Zebra), สปริงบ๊อค (Springbok), สตีนบ็อค (Steenbok), เจมส์บ็อค (Gemsbok), ดิ๊กดิ๊ก( Damara dik-dik), กูดู(kudu), อิมพาลา(Impala), วายเดอบีสท์(wildebeest) ส่วนสัตว์ที่เป็น highlight ขึ้นมาหน่อยที่ถ้าเจอถือว่าโชคดี ก็จะมีไล่ลำดับตามความหายากไปดังนี้; หมาป่าแจ๊กเกิ้ล (Black-backed jackal), หมูป่า (Warthog), แรด(Black Rhino and White Rhino), สิงโต (lion), ชีต้า (Cheetah), เสือดาว (Leopard), แมวป่าเซอร์วัล (Serval Cat), ครั้งนี้โชคดีได้เห็นทั้งหมดทุกสรรพสิ่ง (ยกเว้น Serval Cat กับแรด) ลงรูปหมดคงไม่ไหว เลือกๆมาประมาณนี้ละกัล
Petrified Forest / Twyfelfontein Petrified Forest หรือ ป่าที่กลายเป็นหิน ตรงจุดนี้จะเป็นป่าพื้นที่โล่งที่เค้าเพิ่งได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ในบริเวณนี้เราจะเห็นต้นไม้ประมาณ 50 ต้น ที่มีอายุประมาณ 260 ล้านปี ซึ่งมีส่วนของลำต้นบางส่วนฝังอยู่ในทราย บางส่วนก็พ้นพื้นดินขึ้นมาและกลายเป็นหินอย่างสมบูรณ์ให้เราเห็น สาเหตุที่ไม้กลายเป็นหินได้นั้น เกิดจากต้นไม้ได้ถูกน้ำท่วมและมีทรายมาปกคลุมทับไปทั้งหมด เมื่อขาดอากาศและอินทรียวัตถุไม่สามารถเน่าเปื่อยสลายตัวได้ พอเวลาผ่านไปหลายล้านปี โครงสร้างที่ดีที่สุดของไม้ก็ถูกละลายด้วยกรดซิลิซิกและแทนที่ด้วยควอตซ์ จนตกผลึกเป็นหินแข็งในที่สุด Twyfelfontein (ทไวเฟลฟอนไทน์) เป็นแหล่งสกัดหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีงานแกะสลักบนกำแพงหินและจิตรกรรมฝาผนังที่ชนเผ่าบุชแมนทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคหิน ซึ่งบางรอยมีอายุมากกว่า 6,000 ปี จนถึงตอนนี้มีการค้นพบหินแกะสลักมากกว่า 2,000 ชิ้นแล้วที่นี่ โดยรวมๆภาพแกะที่หินตรงนี้จะเกี่ยวกับกับชีวิตความเป็นอยู่ของในยุคนนั้น มีทั้งรูปมนุษย์ รูปสัตว์และรอยเท้าต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นแรด ช้าง นกกระจอกเทศ และยีราฟ ตรงนี้ก็สนุกดีเหมือนมาดูภาพเด็กขีดเขียนตามผนัง จุดนี้มีเดินปีนขึ้นเขาเล็กน้อย สูงวัยก็จะเหนื่อยนิดนะคะ Spitzkoppe (สปิตซ์คอปป์) เป็นชื่อภูเขาที่มีความสูง 1,728 เมตร ใกล้กับเมือง Swakopmund มีรูปร่างที่โดดเด่น จนได้ชื่อว่า “Matterhorn of Namibia (แมตเทอร์ฮอร์นแห่งนามิเบีย)” เป็นหนึ่งในภูเขาที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในประเทศ ตรงจุดชมวิวของเขาลูกนี้มี Rock Arch หินเว้าทรงประหลาดที่รู้จักกันดีจนเป็นสัญลักษณ์นึงของประเทศไปละ ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือพระอาทิตย์ขึ้นและตก แนะนำให้ไปตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เราไปถึงประมาณ 6 โมง ได้ภาพตั้งแต่ฟ้ายังมืด จากสีส้มเป็นม่วงจนกลายเป็นสีฟ้าทั้งหมด สวยมากคุ้มการตื่น 555 🌄 ที่พักที่ spitzkoppe เป็นที่เดียวของทริปที่ได้นอนแบบ tented campsite แถวนี้ไม่มีอะไรเลยค่ะนอกจากภูเขานี้ ไกด์ของเรามากระซิบว่านี่จะเป็นจุดชมดาวที่สวยที่สุดของทริป เพราะมันไม่มีไฟของตัวเมืองมารบกวน ถ้าจะถ่ายดาวยูเตรียมตัวเลยนะคืนนี้เลย ยูก็ไม่รอช้าออกไปรอถ่าย Milky way ตั้งแต่ 2 ทุ่ม แต่เตือนเลยนะว่าที่ Spitzkoppe ถ้าไปช่วงเดียวกับเรากลางคืนอากาศหนาวมาก ในเต้นท์ไม่มี heater และที่อาบน้ำอยู่โซน outdoor หนาวสุดลงไปถึง 2 องศาเลย จุดนี้ทำฉันเป็นไข้ไร้เรี่ยวแรงไปสองวันเต็ม แลกมาด้วยรูป Milky way โอวมายสวยจริงๆ ดูสิเทอ 😲😲 Swakopmund (Cape Cross Seal / Living Desert Tour) เป้าหมายถัดมาคือเมือง Swakopmund ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งตะวันตกติดทะเล Atlantic Ocean ระหว่างทางไกด์พาโฉบขึ้นเหนือไปที่ Cape Cross จุดชมแมวน้ำอุ๋งๆแป๊บนึงก่อนเข้าที่พัก กลิ่นเค็มใช้ได้เลยนะฮะ 😣 เราพักที่ Swakopmund สองคืน เมืองนี้น่ารักดี เป็นเมืองติดทะเล คนส่วนใหญ่มาเที่ยวพักตากอากาศกัน มีทางเดินเลียบชายหาดโรแมนติก มีร้านอาหาร seafood น่ากินหลายร้านเลย วันแรกก็เดินชิลๆปล่อยใจไป ส่วนกิจกรรมวันที่สองคือ Living Desert Tour หรือทัวร์สำรวจดูสิ่งมีชีวิตในแนวเนินทรายนามิบ ทะเลทรายนามิบนี้ถือว่าเป็นทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อยู่ติดชายฝั่งด้านตะวันตกของประเทศ มีลักษณะเป็นเนินทรายสีเหลืองทองถ่ายรูปสวยมากๆๆๆ ถือว่าเป็นทะเลทรายแห่งเดียวในโลกที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล ซึ่งเนินทรายที่เราสำรวจนี้ก็ห่างจากโรงแรมไปแค่ 15 นาที เช้ามีการเปลี่ยนรถเป็น 4WD และขับลุยทรายเข้าไปโดย Ranger จะคอยส่องหาสัตว์ให้แล้วเวลาเจอตัวอะไรน่าสนใจ ก็จะคอยเรียกให้เราลงจากรถเพื่อลงไปดูสัตว์แบบใกล้ๆ สัตว์ประจำถิ่นที่สามารถพบได้ในทัวร์นี้ ได้แก่ ตุ๊กแกเนินทรายนามิบ Namib Dune Gecko, กิ้งก่าจมูกพลั่ว Shovel-Snouted Lizard, งู Sidewinder Snake, กิ้งก่า Namaqua Chameleon, จิ้งเหลน Reticulated Desert Lizard, แมงป่อง Black Scorpion, และแมลงเต่าทอง Tenebrionid Beetles รวมถึงพืชหลายชนิดที่อยู่รอดได้ในที่แห้งแล้งแห่งนี้ Walvis Bay ระหว่างทางก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมือง Sossusvlei (ซอสซุสไฟล์) เราได้ขับผ่านเมืองท่าเรือน้ำลึกมีอ่าวชื่อ วาลวิส (Walvis Bay) ที่นี่เป็นบ้านของฝูงฟลามิงโกสีชมพู ก็แวะลงถ่ายรูปอยู่เป็นชั่วโมงตรงนี้ 🦩💕 Sossusvlei และแล้ว Highlight ที่สุดของทริปก็มาถึง เราได้เข้าเขตอุทยานแห่งชาติซอสซุสไฟล์ (Sossusvlei) พื้นที่ 32,000 ตารางกิโลเมตร ตรงนี้ถือว่าเป็นเนินทรายที่สูงและเก่าแก่ที่สุดในโลก ระหว่างทางตรงนี้จะมีเนินทรายสูงต่ำอยู่หลายร้อยลูก จุดนี้ชมได้แต่ตานะคะ เนินทรายเหล่านี้ไม่อนุญาติให้คนทั่วไปขึ้นไปปีนเล่นได้ทุกลูกนะ จะมีเพียงแต่เนินที่ 40 (Dune 40) และเนินที่45 (Dune 45) เท่านั้นที่สามารถเดินขึ้นไปได้ (ตัวเลขข้างหลังคือระยะทางกิโลเมตรโดยประมาณที่นับไปถึง Sesriem Canyon) Dune 45 หรือที่เรียกว่า star dune เนื่องจาก การก่อตัวของเนินทรายนี้เกิดจากลมในพื้นที่ Sossusvlei ที่พัดมาจากทุกทิศทุกทาง ทำให้ทรายถูกพัดและก่อตัวเป็นรูปดาวที่มีแขนแฉกเหมือนดาว
Note: ถ้าใครอยากได้รูปสวยๆแนวอ้างว้างเคว้งคว้างตรงนี้ แนะนำให้วางแผนดีๆและมาถึงเป็นกลุ่มแรกๆของวันนะคะ การเดินทางมาจุดนี้ต้องใช้ความพยายามสูงเหมือนกัน ต้องนั่งรถ 4WD เข้าไปและเดินขึ้นเนินทรายประมาณ 1 กม. เดินแบบจ้ำให้เร็วที่สุดด้วยค่ะ เพราะผ่านไปเพียงไม่กี่นาที คนจะกรูมาเต็มเลยค่ะ เราเข้าไปถึงจุดนี้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้คือตอน 8.30 พอ 15 นาทีถัดมา คนไหลเข้ามาเรื่อยๆ หามุมถ่ายยากแล้วค่ะ อ่อ…แล้วก็ที่นี่เค้าจะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าแทบทุกต้น เราห้ามจับหรือสัมผัสต้นไม้เลยนะคะ ผิดกฎ ปรับหนักเลยค่ะ
ครบจบวงกลมประเทศ “นามิเบีย” โดยสมบูรณ์ ใช้เวลาทั้งหมด 2 อาทิตย์เต็ม บอกเลยประทับใจมากกับประเทศนี้ เรียกว่าเต็มอิ่มทั้งชมสัตว์ ท่องทะเลทราย เที่ยวทะเล ปีนหน้าผา เดินบนเนินทราย โอยฟิน ก็เป็นอันจบแล้วกับเรื่องนามิเบียที่อยากจะแชร์ ใครสนใจก็ลองไปหาโอกาสกันดูนะคะ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ที่ชวนไปด้วยกัน ขอบคุณรูปสวยๆหลายๆรูปตรงนี้จากกล้องคุณแม่ มีตรงไหนเขียนผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ 🙏🏻 เจอกันใหม่ทริปหน้าค่าาา 👋🏻
0 Comments
|
ArchivesCategoriesสงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือตัดข้อความส่วนหนึ่งส่วนใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากเพื่อนๆคิดว่าเนื้อหานี้มีประโยชน์และอยากแชร๋ต่อ สามารถส่งต่อ Link URL นี้ได้ค่ะ
|