FOLLOW ME MODE
  • Home
  • My Adventures
    • NAMIBIA
    • KENYA
    • GERMANY
    • ICELAND
    • NEW ZEALAND
    • BRAZIL
    • MYANMAR
  • IMAGES
  • VDO
  • My Story
2023

NAMIBIA

ETOSHA - SPITZKOPPE - SOSSUSVLEI

Namibia - ทะเลทรายที่ไม่ได้มีแค่ความแห้งแล้ง

10/25/2023

1 Comment

 
นามิเบียมีอะไรบ้าง? อธิบายเร็วๆด้วยภาพจะง่ายกว่านั่งอ่าน ทุกคนดู Teaser ตรงนี้ก่อนละกัน 🤗
(กดสี่เหลี่ยมมุมขวาล่าง เพื่อดูให้เต็มจอมือถือ ↖️
Picture
อารัมภบทก่อนไป
​Namibia (นามิเบีย) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐนามิเบีย  เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มีเมืองหลวงชื่อว่า Windhoek (วินด์ฮุก) มีพรมแดนติดด้านเหนือกับประเทศแองโกลาและแซมเบีย ด้านตะวันออกเฉียงเหนือติดกับซิมบับเว ทางตะวันออกติดกับบอตสวานา และทางใต้ติดกับประเทศแอฟริกาใต้ ภูมิประเทศของประเทศเป็นพื้นที่สูงและทะเลทราย เป็นประเทศที่แห้งแล้งที่สุดใน Sahara Desert (ทะเลทรายซาฮารา) ของแอฟริกา ​
Picture
ความไม่น่าเบื่อของการเที่ยวนามิเบียคือความหลากหลายของสถานที่เที่ยว เหมาะสำหรับคนที่อยากลองเที่ยวซาฟารี แต่ไม่มั่นใจว่า เอ… ฉันจะไหวมั๊ยกับการอยู่กลางแดดดูสัตว์ป่าทั้งวันทั้งคืนเป็นอาทิตย์ คือจะบอกว่า มันไม่ได้มีแต่ซาฟารีนะจ๊ะคุณ ที่เที่ยวของนามิเบียมันมีความหลากหลายมากตลอดทั้งทริป แต่ละวันไม่ซ้ำ วันนึงตามล่าส่องสัตว์ใหญ่ในซาฟารี อีกวันนึงไปเดินกลางทะเลทรายดูสัตว์เลื้อยคลานเล็กๆจิ๋วๆ อีกวันเดินขึ้นเขาหินไปดูวิวพระอาทิตย์ขึ้น หรืออีกวันไปโผล่ริมชายหาดทะเลดูแมวน้ำ ฟลามิงโก คือมันมีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งให้ดูแบบหลากหลายจริงๆอ่ะ ดูสิๆ 🌈💙🌄
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
เวลาพูดถึงนามิเบีย หลายคนอาจจะคิดว่า เออ..มันอยู่ในทวีปแอฟริกา น่าจะต้องเป็นประเทศที่เที่ยวลำบาก แอบน่ากลัว ที่พักไม่สะอาดไม่เจริญแน่ๆ ตอนแรกส่วนตัวก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่เคยไปเที่ยวซาฟารีประเทศเคนย่า ซึ่งก็แอฟริกาเหมือนกัน เอาจริงก็มีความลำบากอยู่ไม่น้อย เลยคิดว่าครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน เตรียมใจไประดับนึง ปรากฏว่าไปถึงคือตกใจ surprise บ้านเมืองคือเจริญมากก อยากขอเปลี่ยนความคิดทุกคนตรงนี้ คือมันเจริญจริงๆ ถนนคืออย่างเรียบ บ้านเมืองดูดี สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะในเมืองหลวง คือเอาจริงไม่แพ้ประเทศในยุโรปเลย โรงแรมแต่ละที่เทียบเท่า 4-5 ดาวเลยแหล่ะ แล้วก็คือเพิ่งมารู้ตอนไปถึงว่า อ๋ออ.. เพราะเค้าเคยตกเป็นอาณานิคมของ Germany ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อิทธิพลของชาวเยอรมันที่เข้ามาครอบครองพื้นที่นามิเบียช่วงก่อนสงคราม ทำให้ประเทศนามิเบียมีความเจริญแตกต่างจากประเทศอื่นๆในแอฟริกามาก ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ภาษา วัฒนธรรม และการกินอยู่ เราก็จะยังเห็นมันชัดเจนอยู่ อย่างชื่อถนนที่เห็นในเมืองหลักๆ ก็ยังมีใช้ภาษาเยอรมันให้เห็นอยู่หลายสาย 

นามิเบียไปตอนไหนดี
นามิเบียมีแค่ 2 ฤดูนะคะ  คือช่วง Dry Season (high season) เริ่มเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม และช่วง Wet Season (Low Season) เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เมษายน สรุปช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเที่ยวนามิเบียคือ กค-สคค่ะ ช่วงที่เราเดินทางครั้งนี้ คือวันที่ 7-22 สิงหาคม 2023 ค่ะ อุณหภูมิตอนกลางวันอยู่ประมาณ 22-29 องศาเซลเซียส กลางคืนอาจจะลงไปถึง 2-5 องศา 

ระยะเวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยว
แนะนำที่ประมาณ 10-14 วันค่ะ เพราะแต่ละที่อยู่ไกลกันต้องนั่งรถหลายชั่วโมง ถ้าไปจำนวนวันน้อยกว่านี้จะกลายเป็นเวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในรถหรือทัวร์ชะโงกแทน

ฉีดยาจำเป็นหรือไม่
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เหลืองไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ข้อบังคับหรือต้องมีการตรวจเอกสารใดๆ เพราะนามิเบียไม่ใช่เขตเสี่ยงของโรคพวกนี้ แต่ถ้าอยากฉีดไว้ป้องกันทำแล้วสบายใจก็ไปฉีดได้ที่สภากาชาตินะจ๊ะ

ขอวีซ่า
วีซ่าเป็นแบบ on arrival สะดวกเลยค่ะ ไปถึงไปขอที่ airport ของเมือง Windhoek ได้เลย เตรียมเอกสารยังไงลองหาดูในเน็ตนะคะ​

โรงแรมที่พัก
สะดวกสบายหมดห่วง ทุกที่สะอาด โรงแรมบางวันหรูหราหมาเห่า อาหารเช้าเย็นอร่อย อาหารที่นี่เป็นอาหารฝรั่ง เน้นเนื้อสัตว์ผัก และขนมปัง เหมือนยุโรปทั่วไป ทานง่ายทุกมื้อ เอารูปโรงแรมรวมๆทั้งทริปมาแปะให้ดูก่อนตรงนี้นะ จะมีสองคืนที่นอนแคมป์เต้นท์ที่
Spitzkoppe ลำบากหน่อยเพราะตอนอาบน้ำเป็นแบบ outdoor และหนาวมากกกก 🥶
เงิน - USD ใช้ไม่ได้ซักที่ในนามิเบียเลยนะคะ ให้เตรียม USD ไปค่ะ แต่ไปถึงให้ไปแลกเป็นเงินของเค้าที่ airport ค่ะ แลกเผื่อไว้เลย เหลือค่อยมาแลกคืนตอนจะกลับอีกครั้งค่ะ ระหว่างทางไม่มีให้แลกนะคะ สกุลเงินที่นี่ใช้ดอลลาร์นามิเบีย (Namibian Dollar - NAD) - อัตราแลกเปลี่ยน 1 NAD เท่ากับ 1.93 บาท (ณ วันที่เราไป) ก็ง่ายๆคูณสองทุกอย่างไป
​
Sim Card - บริการ roaming จากไทย (ณ วันที่ไป สค 2023) ของ AIS และ TRUE ยังไม่มีนะคะ ให้ไปซื้อที่ airport ตอนไปถึงค่ะ เผื่อเวลาเลยนะคะ รอนานมากเหมือนมีร้านเดียว แถวยาวเฟื้อย
Picture
​จัดเสื้อผ้าประมาณไหน
ถ้าไปช่วง Dry season เหมือนเรา อุณหภูมิที่ท่านผู้ชมจะเจอคือ 5-30 องศาเซลเซียส ไม่ได้เว่อ ฟังไม่ผิด!! เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และที่รู้ดีกันอยู่คุณสมบัติของทรายคือเก็บความร้อนและคลายความร้อนเร็วตามพระอาทิตย์ อุณหภูมิจะค่อนข้างเหวี่ยงมากระหว่างกลางวันกลางคืน จัดชุดยังไงหว่าเนี่ย … layers เท่านั้นค่ะ ช่วงเช้าใส่มันเข้าไป 3 ชั้น พอ 10 โมงเริ่มถอดทีละชั้น ใกล้ๆเที่ยงก็จะเหลือเสื้อยืดตัวเดียวได้เลย แต่อุณหภูมิของนามิเบียช่วงกลางวันคือเป็นอะไรที่เที่ยวสบายนะ แม้ว่ามันจะร้อนถึง 30 องศา แต่อากาศมันแห้งมาก ลมพัดมาทีนึงคือเย็นสบายไม่มีเหงื่อเหนียวเหนอะหน่ะเลย พอเย็นๆ 4-5 โมง พระอาทิตย์เริ่มตก ก็เริ่มใส่ใหม่ แนะนำให้นำแจ๊คเก็ต down และ jacket ที่กันลมไปด้วยค่ะ นี่คือนึกว่าร้อนเตรียมไปไม่พอ ไม่สบายหนัก 2-3 วันแรก เป็นอะไรที่เข็ดสุดๆ 😭​🤒
ของจำเป็นเลยที่ต้องเตรียมไป
  • วาสลีน ลิปมัน ครีมทาหน้า - มาอันดับแรกเลยค่ะ แม้จะได้รับคำเตือนมาแล้วว่าที่นี่อากาศแห้งมาก แต่เอาเข้าจริงผิวพังแตกระแหงไปหมดเลยค่ะ นี่ไม่ได้ขู่.. แต่แห้งระดับเลือดกำเดาไหล (ซึ่งล่าสุดน่าจะตั้งแต่ประถม) แต่มันแห้งจริงๆค่ะ โปะเข้าไปเช้าเย็นค่ะ ขาดไม่ได้จริงๆ
  • ยากันแดด ผ้าปิดคอปิดปาก ปลอกแขน - อันนี้ได้ใช้ทุกวันแน่นอนค่ะ แดดคือเปรี้ยงและทรายคืออย่างฟุ้งค่ะ 🤧
  • ปลั๊กไฟ - ปลั๊กที่นี่ใจร้ายกับเรามาก ในห้องบางที่มีแค่จุด สองจุด และหัวปลั๊กเป็นแบบ Type M และ D (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น M) แน่นำให้หาซื้อหัวปลั๊กสอง type นี้ไป และนำปลั๊กพ่วงไปด้วยค่ะ ไฟที่นี่ใช้เป็น 220V แบบบ้านเราค่ะ
  • รองเท้ากันทราย - มันจะมีวันที่ต้องไปเดินเจอกรวดทรายหินอยู่เยอะค่ะ จริงๆรองเท้าผ้าใบธรรมดาก็เอาอยู่ แต่สำหรับการเดินในทะเลทรายเลยไม่สะดวกแน่ๆ แนะนำให้ใส่บู๊ตสำหรับเดินในทรายโดยเฉพาะ มันจะกันทรายแต่ไม่กันน้ำทำให้ยังมีการระบายอากาศได้ดี ไม่อยากซื้อแพงมาก ไปสอยที่ decathlon ได้ค่ะ ดีเลย
  • ยา - ก็ยาทั่วไปไม่ต้องพูดเนอะ แต่ที่อยากให้เตรียมเพิ่มสำหรับคือยาแก้แพ้ กับยาอม ยาเจ็บคอ สำหรับคนแพ้ฝุ่น เพราะฝุ่นที่นี่ไม่ใช่เล่นๆ

ข้าวของเตรียมเท่าที่จำเป็นไปก็พอค่ะ ไม่ต้องขนไปเยอะ เนื่องจากมีการย้ายโรงแรมทุกๆคืนสองคืน เอาของไปเยอะเกิน หนักแล้วมันเหนื่อยตอนขนขึ้นลงรถค่ะ
เริ่มเดินทาง!
ครั้งนี้เราไปเดินทางแบบ private group ไปกับทัวร์ของ ทริปดีดี.com ซึ่งเป็นทริปสำรวจ หมายความว่าทางบริษัทเพิ่งเปิดเส้นทางใหม่ครั้งแรก มีไกด์ไทยชื่อพี่แอม ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของพี่แอมในนามิเบียเหมือนกัน 🤭 ไปถึงเรามีไกด์ local ชือ Lucky ที่มารับและนำขบวนทุกอย่าง เป็นคนขับรถ และไกด์ที่เล่าเรื่องนามิเบียตั้งแต่เริ่มจนจบ นางเป็นผู้รู้ทุกเรื่องตั้งแต่สัตว์ป่าทุกชนิด ยันไปถึงเรื่องการเมืองการปกครองและประวัติศาสตร์ของประเทศทั้งหมด การเดินทางเริ่มจากกรุงเทพฯ ไปลงที่กรุง Addis Ababa เมืองหลวงของเอธิโอเปีย ใช้เวลาประมาณ 8 ชม. 40 นาที และต่อเครื่องอีกครั้งไปลงที่เมืองหลวง Windhoek ใช้เวลาอีกประมาณ 6 ชม.โดยสายการบิน Athiopian Airlines ครั้งนี้นั่งยาวเลยลงทุนนั่ง C class สบายๆหน่อย​
Picture
Picture
​สถานที่เที่ยวแต่ละจุดของนามิเบียค่อนข้างไกลกัน นั่งรถวันละหลายชั่วโมง (บางวันมียาวถึง 6ชม) ทริปนี้เรียกง่ายๆว่าคือ roadtrip แหล่ะ รถที่เรานั่งตลอดทั้งทริปเป็นรถตู้ใหญ่ 10 ที่นั่งหลังคาสูงใหม่เอื่ยม มีที่ charge USB ข้างที่นั่งให้ทุกคนด้วย เราไปกัน 6 คน นั่งสบายเหลือๆเลย ประทับใจรถมาก และเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการนั่งรถ ทริปนี้จะไม่ขอไม่ลงรายละเอียดยิบทุกวันเหมือนทุกที แต่จะสรุปจุด hightlight แต่ละจุดให้ละกันนะคะ ไม่งั้นอ่านแล้วคงเบื่อ นั่งรถอีกแระ 555
Picture
​Route เส้นทางรถของเราก็ตามรูปนี้เลยค่ะ วิ่งเป็นลักษณะวงกลม เริ่มจากเมืองหลวง windhouek วิ่งขึ้นเหนือก่อนแล้ววนทวนเข็มไปกลับลงใต้ แล้วก็วนกลับมาจบที่วินฮุกอีกครั้งเพื่อขึ้นเครื่องกลับไทย บางคนจะไม่ขับตามนี้แต่วนตามเข็มก็ได้นะ เราถามไกด์เค้าว่าไม่ได้ต่างอะไรกันขึ้นอยู่กับว่าอยากดูอะไรก่อน

Etosha National Park
หลังจากลงเครื่องและนอนที่ Windhouek ไปคืนนึง วันแรกเราก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือไป Etosha National Park เลยค่ะ เป็นอุทยานในการซาฟารีส่องสัตว์ที่ใหญ่สุดในนามิเบียครอบคลุมพื้นที่กว่า 20,000 ตารางกิโลเมตร สัตว์เยอะมาก ขับรถตามล่ากันเป็นวันๆก็ไม่ทั่วอุทยาน ประเทศนามิเบียเค้าให้ความสำคัญมากในเรื่องการบริหารจัดการสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เราจะเห็นว่าขณะที่จำนวนสัตว์ป่าของประเทศอื่นๆในแถบแอฟริกา อย่าง แทนซาเนีย เคนย่ามีปริมาณที่ค่อยๆลดลง แต่จำนวนสัตว์ป่าของนามิเบียในแต่ละปีกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพราะเค้าสามารถดูแลสัตว์ป่าและจัดสรรให้มันได้อยู่อย่างธรรมชาติ โดยมีกฎข้อบังคับไม่ให้มนุษย์เข้าไปเบียดเบียนความเป็นอยู่ของสัตว์เหล่านี้อย่างชัดเจน
Picture
เอาค่ะ มาถึงเราก็เริ่มกิจกรรม Game Drive หรือส่องสัตว์จากการขับรถตระเวนเข้าไปในอุทยานเรื่อยๆ แบบสุ่มวิ่งไปรอบๆ ในครึ่งวันแรกที่เรามาถึง เรายังใช้รถตู้คันเดิมที่เราใช้ตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากเรามาถึงก็ช่วงบ่ายละ ก็ถือว่าเป็น  Short Game Drive ชิมๆไปก่อน จะถ่ายรูปจากรถนี้ก็จะอึดอัดหน่อยเพราะเปิดกระจกไม่ได้ ส่วนวันที่สองเราเปลี่ยนเป็นรถซาฟารี 4WD หลังคาเปิด เพื่อให้ได้อรรถรสการดูสัตว์และถ่ายรูปอย่างแท้ทรู สำหรับใครที่ยังไม่เคย Game Drive แนะนำสามสิ่งที่ห้ามลืมนอกเหนือจากกล้องและมือถือ 1. ลิปมันและครีมหน้า คือระหว่างทางที่วิ่งตลอดทั้งวันเนี่ยลมจะตีหน้าตลอดเวลานะคะ บอกเลยคือมันแห้งไปหมด แห้งแบบจริงจังค่ะ 2. ผ้าปิดปาก(ปิดคอ) เพราะนอกจากลมที่ตีหน้าแล้วมันมาพร้อมฝุ่นและทรายมหาศาล 3. เสื้อหนาวหนา/เสื้อกันลม เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่จะทำไปถึงเย็น พอพระอาทิตย์ตก หน้าและตัวที่ปะทะกับลมนี้ โอยหนาวเหน็บค่ะ
Picture
Picture
สำหรับสัตว์มาตรฐานที่ยังไงทุกท่านก็จะได้เจอก็จะมี ; ยีราฟ (Giraffe), ช้างแอฟริกัน (African Elephant), ม้าลาย (Zebra), สปริงบ๊อค (Springbok), สตีนบ็อค (Steenbok), เจมส์บ็อค (Gemsbok),  ดิ๊กดิ๊ก( Damara dik-dik),  กูดู(kudu), อิมพาลา(Impala), วายเดอบีสท์(wildebeest) ส่วนสัตว์ที่เป็น highlight ขึ้นมาหน่อยที่ถ้าเจอถือว่าโชคดี ก็จะมีไล่ลำดับตามความหายากไปดังนี้; หมาป่าแจ๊กเกิ้ล (Black-backed jackal), หมูป่า (Warthog), แรด(Black Rhino and White Rhino), สิงโต (lion), ชีต้า (Cheetah), เสือดาว (Leopard), แมวป่าเซอร์วัล (Serval Cat), ครั้งนี้โชคดีได้เห็นทั้งหมดทุกสรรพสิ่ง (ยกเว้น Serval Cat กับแรด) ลงรูปหมดคงไม่ไหว เลือกๆมาประมาณนี้ละกัล
Picture
Picture
Picture
Picture

Himba Village
ส่องสัตว์จนเต็มอิ่มแล้วเดินหน้าต่อ จุดท่องเที่ยวถัดมาคือการเยี่ยมชมหมู่บ้านของชาวฮิมบา (Himba) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิม เป็นชนเผ่าเร่ร่อนเล็กๆที่มีเหลือเพียงไม่กี่หมื่นคนในปัจจุบัน 
คนฮิมบาเป็นลูกหลานของเฮเรโรที่เหลือรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของทหารเยอรมันเมื่อร้อยกว่าปีก่อน หมู่บ้านฮิมบาในนามิเบียนั้นมีอยู่หลายหมู่บ้านกระจัดกระจาย จุดที่เราแวะนี้ชื่อว่า Omapaha Etosha Himba Village ซึ่งทุกหมู่บ้านตอนนี้ก็ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านมาเข้าแวะเยี่ยมชมเพื่อเรียนรู้การเป็นอยู่และใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม ที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ การเป็นอยู่ของฮิมบายังเป็นแบบเดิม บ้านที่อยู่อาศัยก็เป็นบ้านสร้างเองโดยใช้โคลนผสมมูลสัตว์ การแต่งตัวผู้หญิงจะนำหนังสัตว์มาใส่คลุมท่อนล่างและเปลือยท่อนบนทุกคน เรื่องน่าสนใจของชนเผ่านี้คือ ชาวฮิมบาโดยเฉพาะผู้หญิง จะไม่อาบน้ำตั้งแต่เกิดจนตลอดชีวิต ฟังไม่ผิดแล้ว ตลอดชีวิต 555 อ่านถึงตรงนี้อาจจะคิดว่าเหม็นแน่ๆ แต่ไม่เลยผิวพวกเค้าเนียนเรียบสวยกว่าเราอีก เนื่องจากพวกเค้าจะอาบน้ำด้วยการอบควันหอมจากสมุนไพร และพิถีพิถันมากในการนำดินแดงผสมสมุนไพรหอมที่พวกเขาเรียกว่า อ็อตจีซ (Otjize) แล้วเอามาพอกทั้งตัวถึงศรีษะ ซึ่งเป็นที่มาของผิวสีแดงและทรงผมพอกโคลนแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวฮิมบานี้ ​
Picture
Picture

Petrified Forest / Twyfelfontein
Petrified Forest หรือ ป่าที่กลายเป็นหิน ตรงจุดนี้จะเป็นป่าพื้นที่โล่งที่เค้าเพิ่งได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ในบริเวณนี้เราจะเห็นต้นไม้ประมาณ 50 ต้น ที่มีอายุประมาณ 260 ล้านปี ซึ่งมีส่วนของลำต้นบางส่วนฝังอยู่ในทราย บางส่วนก็พ้นพื้นดินขึ้นมาและกลายเป็นหินอย่างสมบูรณ์ให้เราเห็น สาเหตุที่ไม้กลายเป็นหินได้นั้น เกิดจากต้นไม้ได้ถูกน้ำท่วมและมีทรายมาปกคลุมทับไปทั้งหมด เมื่อขาดอากาศและอินทรียวัตถุไม่สามารถเน่าเปื่อยสลายตัวได้ พอเวลาผ่านไปหลายล้านปี โครงสร้างที่ดีที่สุดของไม้ก็ถูกละลายด้วยกรดซิลิซิกและแทนที่ด้วยควอตซ์ จนตกผลึกเป็นหินแข็งในที่สุด
Twyfelfontein (ทไวเฟลฟอนไทน์) เป็นแหล่งสกัดหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีงานแกะสลักบนกำแพงหินและจิตรกรรมฝาผนังที่ชนเผ่าบุชแมนทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคหิน ซึ่งบางรอยมีอายุมากกว่า 6,000 ปี จนถึงตอนนี้มีการค้นพบหินแกะสลักมากกว่า 2,000 ชิ้นแล้วที่นี่ โดยรวมๆภาพแกะที่หินตรงนี้จะเกี่ยวกับกับชีวิตความเป็นอยู่ของในยุคนนั้น มีทั้งรูปมนุษย์ รูปสัตว์และรอยเท้าต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นแรด ช้าง นกกระจอกเทศ และยีราฟ ตรงนี้ก็สนุกดีเหมือนมาดูภาพเด็กขีดเขียนตามผนัง จุดนี้มีเดินปีนขึ้นเขาเล็กน้อย สูงวัยก็จะเหนื่อยนิดนะคะ
Picture

Spitzkoppe (สปิตซ์คอปป์)
เป็นชื่อภูเขาที่มีความสูง 1,728  เมตร ใกล้กับเมือง Swakopmund มีรูปร่างที่โดดเด่น จนได้ชื่อว่า “Matterhorn of Namibia (แมตเทอร์ฮอร์นแห่งนามิเบีย)” เป็นหนึ่งในภูเขาที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในประเทศ ตรงจุดชมวิวของเขาลูกนี้มี Rock Arch หินเว้าทรงประหลาดที่รู้จักกันดีจนเป็นสัญลักษณ์นึงของประเทศไปละ ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือพระอาทิตย์ขึ้นและตก แนะนำให้ไปตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เราไปถึงประมาณ 6 โมง ได้ภาพตั้งแต่ฟ้ายังมืด จากสีส้มเป็นม่วงจนกลายเป็นสีฟ้าทั้งหมด สวยมากคุ้มการตื่น 555 🌄
Picture
ที่พักที่ spitzkoppe เป็นที่เดียวของทริปที่ได้นอนแบบ tented campsite แถวนี้ไม่มีอะไรเลยค่ะนอกจากภูเขานี้ ไกด์ของเรามากระซิบว่านี่จะเป็นจุดชมดาวที่สวยที่สุดของทริป เพราะมันไม่มีไฟของตัวเมืองมารบกวน ถ้าจะถ่ายดาวยูเตรียมตัวเลยนะคืนนี้เลย ยูก็ไม่รอช้าออกไปรอถ่าย Milky way ตั้งแต่ 2 ทุ่ม  แต่เตือนเลยนะว่าที่ Spitzkoppe ถ้าไปช่วงเดียวกับเรากลางคืนอากาศหนาวมาก ในเต้นท์ไม่มี heater และที่อาบน้ำอยู่โซน outdoor หนาวสุดลงไปถึง 2 องศาเลย จุดนี้ทำฉันเป็นไข้ไร้เรี่ยวแรงไปสองวันเต็ม แลกมาด้วยรูป Milky way โอวมายสวยจริงๆ ดูสิเทอ 😲😲
Picture

Swakopmund (Cape Cross Seal / Living Desert Tour)
เป้าหมายถัดมาคือเมือง Swakopmund ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งตะวันตกติดทะเล Atlantic Ocean ระหว่างทางไกด์พาโฉบขึ้นเหนือไปที่ Cape Cross จุดชมแมวน้ำอุ๋งๆแป๊บนึงก่อนเข้าที่พัก กลิ่นเค็มใช้ได้เลยนะฮะ 😣
Picture
เราพักที่ Swakopmund สองคืน เมืองนี้น่ารักดี เป็นเมืองติดทะเล คนส่วนใหญ่มาเที่ยวพักตากอากาศกัน มีทางเดินเลียบชายหาดโรแมนติก มีร้านอาหาร seafood น่ากินหลายร้านเลย วันแรกก็เดินชิลๆปล่อยใจไป ส่วนกิจกรรมวันที่สองคือ Living Desert Tour หรือทัวร์สำรวจดูสิ่งมีชีวิตในแนวเนินทรายนามิบ ทะเลทรายนามิบนี้ถือว่าเป็นทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อยู่ติดชายฝั่งด้านตะวันตกของประเทศ มีลักษณะเป็นเนินทรายสีเหลืองทองถ่ายรูปสวยมากๆๆๆ ถือว่าเป็นทะเลทรายแห่งเดียวในโลกที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล ซึ่งเนินทรายที่เราสำรวจนี้ก็ห่างจากโรงแรมไปแค่ 15 นาที เช้ามีการเปลี่ยนรถเป็น 4WD และขับลุยทรายเข้าไปโดย Ranger จะคอยส่องหาสัตว์ให้แล้วเวลาเจอตัวอะไรน่าสนใจ ก็จะคอยเรียกให้เราลงจากรถเพื่อลงไปดูสัตว์แบบใกล้ๆ สัตว์ประจำถิ่นที่สามารถพบได้ในทัวร์นี้ ได้แก่ ตุ๊กแกเนินทรายนามิบ Namib Dune Gecko, กิ้งก่าจมูกพลั่ว Shovel-Snouted Lizard, งู Sidewinder Snake, กิ้งก่า Namaqua Chameleon, จิ้งเหลน Reticulated Desert Lizard, แมงป่อง Black Scorpion, และแมลงเต่าทอง Tenebrionid Beetles รวมถึงพืชหลายชนิดที่อยู่รอดได้ในที่แห้งแล้งแห่งนี้

Walvis Bay
ระหว่างทางก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมือง Sossusvlei (ซอสซุสไฟล์) เราได้ขับผ่านเมืองท่าเรือน้ำลึกมี
อ่าวชื่อ วาลวิส (Walvis Bay)​ ที่นี่เป็นบ้านของฝูงฟลามิงโกสีชมพู ก็แวะลงถ่ายรูปอยู่เป็นชั่วโมงตรงนี้ 🦩💕

Sossusvlei
และแล้ว Highlight ที่สุดของทริปก็มาถึง เราได้เข้าเขตอุทยานแห่งชาติซอสซุสไฟล์ (Sossusvlei) พื้นที่ 32,000 ตารางกิโลเมตร ตรงนี้ถือว่าเป็นเนินทรายที่สูงและเก่าแก่ที่สุดในโลก ระหว่างทางตรงนี้จะมีเนินทรายสูงต่ำอยู่หลายร้อยลูก จุดนี้ชมได้แต่ตานะคะ เนินทรายเหล่านี้ไม่อนุญาติให้คนทั่วไปขึ้นไปปีนเล่นได้ทุกลูกนะ จะมีเพียงแต่เนินที่ 40 (Dune 40) และเนินที่45 (Dune 45) เท่านั้นที่สามารถเดินขึ้นไปได้ (ตัวเลขข้างหลังคือระยะทางกิโลเมตรโดยประมาณที่นับไปถึง Sesriem Canyon) Dune 45 หรือที่เรียกว่า star dune เนื่องจาก การก่อตัวของเนินทรายนี้เกิดจากลมในพื้นที่ Sossusvlei ที่พัดมาจากทุกทิศทุกทาง ทำให้ทรายถูกพัดและก่อตัวเป็นรูปดาวที่มีแขนแฉกเหมือนดาว 
​
Picture
Picture
Dune 40
  • Dune 45
นี้มีความสูงถึง 170 เมตร ประกอบด้วยทรายอายุ 5 ล้านปี สิ่งที่ทำให้รูปร่างของ Dune 45 โดดเด่นก็คือ ความลาดชันที่ค่อนข้างสมมาตร ซึ่งก่อตัวมานานหลายพันปีเนื่องจากรูปแบบของลมและการสะสมตัวของตะกอนในพื้นที่ 
Picture
Dune 45
  • Dead Vlei ต้นไม้แห่งความตาย
Dead Vlei หรือ “บึงที่ตายแล้ว” ได้รับการกล่าวขานว่ารายล้อมไปด้วยเนินทรายที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 300–400 เมตร มีชื่อว่า "Big Daddy" หรือ "Crazy Dune" ใจกลางของเนินทรายสูงนี้เป็นแอ่งที่ราบเต็มไปด้วยดินโคลนขาวที่แตกระแหง และตรงนี้เองที่เราจะได้เห็นต้นไม้พันธุ์ Camelthorn หรือต้นหนามอูฐที่แห้งตายอยู่อยู่หลายต้น ต้นไม้เหล่านี้น่าจะตายมาได้เกือบพันปีแล้ว สาเหตุเกิดจากครั้งนึงเคยเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่จากน้ำที่ไหลผ่านมาจากแม่น้ำ Tsauchab จนเกิดเป็นแอ่งน้ำตื้นใหญ่ชั่วคราวตรงนี้ ปริมาณน้ำที่มากพอจนทำให้ต้นหนามอูฐเจริญเติบโตขึ้นได้หลายต้น แต่พอสภาพอากาศเปลี่ยนไป เกิดภัยแล้ง และเนินทรายสูงที่อยู่บริเวณรอบๆ เป็นตัวปิดกั้นแม่น้ำจากพื้นที่ราบจริงนี้ ต้นไม้จึงค่อยๆตาย ซากของต้นไม้ที่ตายไปแล้วตรงนี้ถูกแสงแดดจ้าเผาไหม้ทุกวันจนสุดท้ายมันไหม้เกรียมกลายเป็นสีดำอย่างที่เห็น

Note: ถ้าใครอยากได้รูปสวยๆแนวอ้างว้างเคว้งคว้างตรงนี้ แนะนำให้วางแผนดีๆและมาถึงเป็นกลุ่มแรกๆของวันนะคะ การเดินทางมาจุดนี้ต้องใช้ความพยายามสูงเหมือนกัน ต้องนั่งรถ 4WD เข้าไปและเดินขึ้นเนินทรายประมาณ 1 กม. เดินแบบจ้ำให้เร็วที่สุดด้วยค่ะ เพราะผ่านไปเพียงไม่กี่นาที คนจะกรูมาเต็มเลยค่ะ เราเข้าไปถึงจุดนี้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้คือตอน 8.30 พอ 15 นาทีถัดมา คนไหลเข้ามาเรื่อยๆ หามุมถ่ายยากแล้วค่ะ อ่อ…แล้วก็ที่นี่เค้าจะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าแทบทุกต้น เราห้ามจับหรือสัมผัสต้นไม้เลยนะคะ ผิดกฎ ปรับหนักเลยค่ะ
Picture
  • Sesriem Canyon
เป็นอีกจุดท่องเที่ยวในอุทยาน Sossusvlei เป็นหุบเขายาวประมาณ 1 กม. ที่มีความลึกลงไป 30 เมตร เมื่อก่อนเป็นทางไหลผ่านของแม่น้ำ Tsauchab River แต่ตอนนี้น้ำได้หายไปหมดจนให้เราลงไปเดินข้างล่าง Canyon ได้แล้ว แต่จะยังมีน้ำบ้างในช่วงหน้าฝนที่ฝนตกเยอะๆบ้าง ทางลงไปก็มีปีนป่ายบ้างแต่ไม่ถือว่าลำบาก แนะนำว่าถ้ามาที่นี่ควรมาช่วงบ่ายๆหรือเย็นๆ ตอนเที่ยงตรงนี้ร้อนมั่ก หลังจากอุทยาน Sossusvlei เราก็พับกระเป๋า มุ่งหน้าขึ้นเหนือกลับไปจบที่เมืองหลวง Windhoek เพื่อขึ้นเครื่องกลับบ้าน
Picture
Picture

ครบจบวงกลมประเทศ “นามิเบีย” โดยสมบูรณ์ ใช้เวลาทั้งหมด 2 อาทิตย์เต็ม บอกเลยประทับใจมากกับประเทศนี้ เรียกว่าเต็มอิ่มทั้งชมสัตว์ ท่องทะเลทราย เที่ยวทะเล ปีนหน้าผา เดินบนเนินทราย โอยฟิน ก็เป็นอันจบแล้วกับเรื่องนามิเบียที่อยากจะแชร์ ใครสนใจก็ลองไปหาโอกาสกันดูนะคะ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ที่ชวนไปด้วยกัน ขอบคุณรูปสวยๆหลายๆรูปตรงนี้จากกล้องคุณแม่ มีตรงไหนเขียนผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ 🙏🏻 เจอกันใหม่ทริปหน้าค่าาา 👋🏻
Picture
1 Comment
Overland Park Sex Party link
1/29/2025 11:05:38 am

This is awwesome

Reply



Leave a Reply.

    Archives

    October 2023

    Categories

    All

    RSS Feed

    สงวนลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพหรือตัดข้อความส่วนหนึ่งส่วนใดๆไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากเพื่อนๆคิดว่าเนื้อหานี้มีประโยชน์และอยากแชร๋ต่อ สามารถส่งต่อ Link URL นี้ได้ค่ะ

  • Home
  • My Adventures
    • NAMIBIA
    • KENYA
    • GERMANY
    • ICELAND
    • NEW ZEALAND
    • BRAZIL
    • MYANMAR
  • IMAGES
  • VDO
  • My Story